ยานยนต์.net
  • หน้าแรก
  • ข่าวสาร
  • รถยอดฮิต
  • รีวิวรถ
  • บทความแนะนำ
@2021 - All Right Reserved. Designed and Developed by ยานยนต์.net
Category:

บทความแนะนำ

บทความแนะนำ

หลักการ เลือก ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับมือใหม่

by yanyon 7 ธันวาคม 2022
written by yanyon
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

เมื่อมีรถ สิ่งที่ต้องตามมาคือ “ประกันภัย” ซึ่งแน่นอนว่า นอกจากจะทำให้เราอุ่นใจเวลาที่เราเดินทางแล้ว กรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น สำหรับรถยนต์ที่มีประกัน ก็จะได้รับความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ระบุตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ถ้าหากคุณกำลังมองหาประกันภัยที่มีความน่าเชื่อถือ วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ เกี่ยวกับ หลักการ เลือก ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับมือใหม่ มาแนะนำ 

หลักการ เลือก ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับมือใหม่ 

1. พิจารณาความคุ้มครองของประกันชั้น 1

  ก่อนอื่นพิจารณาจากประเภทรถยนต์ของเรา ว่าเป็นรถยนต์ประเภทใดและเหมาะกับการทำประกันชั้น 1 หรือไม่ หากเข้าข่ายดังต่อไปนี้ ก็เหมาะกับการทำประกันชั้น 1  

1.1 รถป้ายแดง เนื่องจากรถป้ายแดงมีความเสี่ยงที่จะเกิด อุบัติเหตุ รวมไปถึง เหตุการณ์ ไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น การทำประกันชั้น 1 ไม่เพียงแค่คุ้มครองตัวรถ แต่ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น 

1.2 รถหรูซูเปอร์คาร์ เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่มีมูลค่า ราคาค่อนข้างแพง ดังนั้นกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและไม่มี ประกันชั้น 1 คู่กรณีก็อาจจะไม่สามารถชดเชยค่าเสียหาย หรือค่าซ่อมรถให้กับเราได้ เท่ากับมูลค่าที่เสียไป 

1.3 มือใหม่หัดขับ แน่นอนว่าสำหรับคนที่เป็นมือใหม่หัดขับ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นการมี ประกันชั้น 1 ไว้ ก็จะช่วยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

ระยะเวลาในการเคลมประกันชั้นหนึ่ง 

  กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าผู้ขับขี่จะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็ตาม ประกันชั้น 1 จะต้องคุ้มครองคุณเสมอ ตลอดอายุการเอาประกัน แต่ต้องอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์ว่ามีเงื่อนไขบางอย่าง ที่อาจจะส่งผลต่อการต่ออายุประกันในปีหน้า ยกตัวอย่างเช่น กรณี ที่มีการเคลมประกัน ในปีต่อไปเบี้ยประกันอาจจะเพิ่มขึ้น หรือในกรณีที่ ปีแรก ๆ ของการทำประกัน ไม่มีการเคลมประกันเลย ในปีต่อไป อาจจะได้รับส่วนลดจากเบี้ยประกัน เป็นต้น 

  การทำเรื่องเคลม ประกันภัย รถยนต์ชั้น 1 มี 2 แบบ 

1. การเคลมประกันแบบแห้ง 

เป็นกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์มานานแล้ว แต่ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของผู้เอาประกันเพิ่งทราบ เช่น กรณีที่มีรถคันอื่นเฉี่ยวชนรถเรา โดยที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ โดยปกติถ้ามีการแจ้งการเคลมประกันแบบแห้ง จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 

2. การเคลมประกันแบบสด 

มักจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีคู่กรณีอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ทันทีที่เกิดเหตุการณ์แล้วมีการโทรเรียกประกันในทันที ต่างฝ่ายต่างเรียกประกันเพื่อ เคลมความเสียหายที่เกิดขึ้นในทันที 

3. การเคลมประกันสำหรับความเสียหายหนัก 

สามารถเป็นได้ทั้งแบบแห้งและแบบสด แต่จะเป็นในกรณีที่รถมีความเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ เป็นต้น 
  สุดท้ายนี้ การทำ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นเรื่องที่ควรจะมีติดรถไว้ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า อุบัติเหตุต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้นมีประกันรถไว้อุ่นใจกว่า อย่าลืมศึกษาเงื่อนไขก่อนทำประกันทุกครั้ง

อ่านเพิ่มเติม: ปัญหา โช้คอัพรถยนต์

7 ธันวาคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

สัญญาณไม่ดี บอก ปัญหา โช้คอัพรถยนต์ รู้ก่อนสาย

by yanyon 4 ธันวาคม 2022
written by yanyon
ปัญหา โช้คอัพรถยนต์

รู้หรือไม่ว่า โช้คอัพรถยนต์ นั้นมีความสำคัญกับรถยนต์เป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ทำให้รถยนต์ สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ โช้คอัพทำหน้าที่ให้ดูดซับแรงกระแทก ลดการสั่นสะเทือนของรถ แล้วยังมีหน้าที่คอยหน่วงการเคลื่อนที่ ไม่ให้รถมีการเคลื่อนที่ ขึ้น ลง เร็วจนเกินไปเมื่อสัมผัสกับพื้นถนน โช้คอัพเหมือนสปริงขนาดใหญ่นั่นเอง 

ประโยชน์ของ โช้คอัพรถยนต์ 

1. ช่วยให้เกิดความนิ่มนวลถนัดขับขี่ ทำให้เราขับขี่อย่างสะดวกสบายมากขึ้น 

2. ช่วยลดส่งตัวได้ดี เกิดความปลอดภัยเมื่อมีการเลี้ยว 

3. ช่วยให้หน้ายางเกิดความสัมพันธ์เท่ากันทุกล้อ โดยไม่ต้องเปลี่ยนยางบ่อย 

  ประเภทของ โช้คอัพรถยนต์ 

โดยปกติแล้ว โช้คอัพรถยนต์ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน 

1. โช้คอัพระบบน้ำมัน

การทำงานของโช้คอัพระบบน้ำมันคือ การทำงานระบบไฮดรอลิค หมายความว่าในขณะที่กำลังทำงานอยู่นั้น น้ำมันไฮดรอลิคจะทำหน้าที่ไหลผ่านวาล์วลูกสูบ ทำให้เกิดปฏิกิริยาฟองอากาศภายใน ในกรณีที่ฟองอากาศมีการแตกตัว ก็จะทำให้การทำงานของโช้คอัพผิดปกติ โช้คอัพน้ำมันที่ใช้น้ำมันไฮดรอลิคในการทำงาน จะทำให้เกิดความหนืด โช้คอัพประเภทนี้มักจะราคาไม่แพง ข้อดีคือยึดเกาะถนนได้ดี แต่มีข้อจำกัดคือลักษณะความแข็ง และเมื่อโช๊คอัพเสียหายรู้สึกว่าจะทำให้น้ำมันรั่วและเกิดความสกปรก 

2. โช้คอัพแก๊ส 

โช้คอัพแก๊สเป็นการทำงานระหว่างแก๊สไนโตรเจน และน้ำมันไฮดรอลิค ซึ่งปกติถือว่าเป็นโชคดีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ลูกสูบจะทำหน้าที่ในการเลื่อนตัวลงไปข้างล่างของกระบอกสูบและไหลขึ้นมาผ่านวาล์วไปยังห้องน้ำมันด้านบน และบางส่วนก็จะไหลลงด้านล่างเพื่อไปพักตัวอยู่ที่ห้องน้ำมันสำรอง ข้อดีคือ ให้ความนุ่มนวลขณะขับขี่ และสามารถลดแรงกระแทกได้ดี ข้อจำกัดคือ มีราคาค่อนข้างสูง 

หากโช้คอัพพัง ? 

กรณี โช้คอัพรถยนต์ พังจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์ตามมา นั่นคือรถยนต์ไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุในกรณีที่มีการเข้าโค้งและรถยนต์ไม่สามารถส่งตัวได้ จะทำให้เสียการควบคุม 

สัญญาณบ่งบอกว่ากำลังมีปัญหา โช้คอัพรถยนต์ พัง 

1. ปัญหาฝากระโปรงรถเด้งขึ้นหลายครั้ง เมื่อใช้มือกดที่ฝากระโปรง 

เมื่อเราใช้มือกดไปที่ฝากระโปรงรถ เพื่อเช็คการคืนตัวของโช้คอัพ และเกิดปัญหาว่าฝากระโปรงไม่สามารถปิดได้หรือมีการเร่งตัวคือหลายครั้ง หรือในลักษณะของการเด้งขึ้นลง หมายความว่าโช้คอัพเริ่มมีปัญหา 

2. โช้คอัพบิดเบี้ยวผิดรูปทรง 

ในกรณีที่โช้คอัพมีการบิดเบี้ยวผิดไปจากรูปทรงเดิม เช่น มีรอยบุบ คดงอ กระบอก โช้คอัพเบี้ยว หมายความว่าโช้คอัพเสีย สิ่งที่ต้องทำคือควรจะรีบเปลี่ยน ในทันที 

3. มีคราบน้ำมันเลอะเทอะเปื้อนบริเวณโช้คอัพ 

หากพบว่ามีรอยรั่วซึมรวมไปถึงคราบน้ำมันต่าง ๆ เพิ่มเพื่อนบริเวณโช้คอัพหรือบริเวณใกล้เคียงเช่น แกนโช้คอัพ ซีลโช้ค หมายความว่าโช้คอัพรั่วหรือเสื่อมสภาพ ต้องเปลี่ยน 

4. รถมีอาการโคลงเคลง และเช็ดหัวขึ้นเวลาออกตัว 

หากเราขับรถด้วยความเร็วปกติ หรือออกตัวด้วยความเร็วคงที่ แล้วรถมีอาการโคลงเคลง ยังไปเอียงมาหรือมีลักษณะหน้ารถเชิดขึ้น เมื่อออกตัว แปลว่าโช้คอัพรถเสีย 

5. รอยรั่วของน้ำมัน 

ให้สังเกตบริเวณโช้คอัพหากมีคราบน้ำมันเปรอะเปื้อนไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวโช้คอัพเอง หรือบริเวณส่วนอื่น ๆ เช่นแกนโช้คอัพที่มีลักษณะอาการน้ำมันรั่วซึม หมายความว่าโช้คอัพมีปัญหา 

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

6. หน้ายางรถยนต์มีรอยสึกไม่มีความสม่ำเสมอ 

หากมีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อที่ถูกต้องแล้วแต่บริเวณหน้ายางยังไม่มีความสม่ำเสมอในขณะวิ่งรถไปได้สักพัก หมายความว่าโช้คอัพเสื่อมสภาพ 

8. มีอาการรถกระเด้งกระดอน 

เมื่อมีการขับรถผ่านบริเวณพื้นถนนที่ขรุขระหรือบริเวณคอสะพาน รวมไปถึงลูกระนาด รถมีอาการกระเด้งกระดอนหลายครั้งไม่มีความนิ่มนวล 

9. รถส่ายไปมาเมื่อขับเร็ว 

หากขับรถที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเส้นทางตรง และรถมีอาการส่ายไปมา อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือสูญเสียการทรงตัวได้ จะต้องรีบเปลี่ยนโช้คอัพเพื่อความปลอดภัย  หากรถยนต์ของใครมีอาการดังกล่าว บอกไว้ว่าปัญหาเหล่านี้ควรจะรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะมันหมายถึงความปลอดภัยของตัวเรา และผู้ใช้ถนนร่วมกัน อย่ารอให้เกิดอุบัติเหตุ ปัญหา โช้คอัพรถยนต์ เป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

อ่านเพสิ่มเติม: หม้อน้ำ รถยนต์

4 ธันวาคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

รอบรู้ เรื่อง หม้อน้ำ รถยนต์ พร้อมเทคนิคการดูแล คนรักรถห้ามพลาด

by yanyon 1 ธันวาคม 2022
written by yanyon
หม้อน้ำ รถยนต์

อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถยนต์ของเรา เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ย่อมเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่นเดียวกับ หม้อน้ำรถยนต์ ที่มีความสำคัญกับตัวรถยนต์ หากไม่มีการดูแลรักษาที่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลทำให้รถยนต์เสียหายและอาจจะตามมาด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ

วันนี้เราจะมาดูเรื่อง รอบรู้ เรื่อง หม้อน้ำ รถยนต์ พร้อมเทคนิคการดูแล คนรักรถห้ามพลาด 

หม้อน้ำ รถยนต์ คือ ชิ้นส่วนอุปกรณ์หลักของตัวรถยนต์ที่ทำหน้าที่ในการ ระบายความร้อนและหล่อเย็น เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เกิดอุณหภูมิที่สูงจนเกินไป เพราะหาเครื่องยนต์มีอุณหภูมิที่สูงจนเกินไป ก็จะทำให้รถยนต์ระเบิด เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้ 

  หลักการทำงานของ หม้อน้ำรถยนต์ โดยปกติแล้วในหม้อน้ำรถยนต์จะอาศัยน้ำยาหล่อเย็นและพัดลมหม้อน้ำ ที่ทำหน้าที่ในการดูดอากาศจากด้านหน้าของหม้อรถผ่านครีบรังผึ้งบริเวณหน้ารถ ระบายความร้อนออกจากโลหะไปยังด้านหลังเรียกว่าระบบแลกเปลี่ยนอากาศ โดยอุณหภูมิน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำนั้นเย็นตัวลงและหมุนเวียนกลับเข้าสู่ตัวรถยนต์ 

ประเภทของ หม้อน้ำรถยนต์ 

1. หม้อน้ำอะลูมิเนียมฝาพลาสติก 

เป็นหม้อน้ำที่นิยมใช้กันทั่วไปเนื่องจากมีต้นทุนต่ำ ราคาถูก น้ำหนักเบา และยังสามารถระบายความร้อนได้ดี โดยแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ 

1.1 แบบที่ฝาปิดเป็นพลาสติก 

1.2 แบบที่เป็นอะลูมิเนียมทั้งอัน ซึ่งจะมีราคาที่แพงกว่า ข้อดีกว่าทนกว่าพลาสติก 

2. หม้อน้ำทองแดง 

หม้อน้ำทองแดงเคยเป็นที่นิยมเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ผลิตมาจากทองแดง แบ่งออกได้ 2 ประเภทเช่นกันคือ 

2.1 ประเภทที่ผลิตมาจากทองแดงล้วน ระบายความร้อนได้ดี แต่มีราคาค่อนข้างแพง นอกจากนี้บางรุ่นอาจจะต้องสั่งทำ 

2.2 ผลิตจากทองเหลืองผสมทองแดงข้อดีคือระบายความร้อนได้ดี แต่อาจจะมีความร้อนสะสมบ้าง 

รู้ได้อย่างไรว่าหม้อน้ำรถยนต์มีปัญหา ? 

สังเกตการโอเวอร์ฮีทของเครื่องยนต์ ในกรณีที่ หม้อน้ำรถยนต์ มีการใช้งานหรือทำงานหนักมากจนเกินไป โดยมีสาเหตุหลัก ๆ มาจาก การชำรุด ของระบบวาล์ว หม้อน้ำ พัดลมระบายอากาศ หรือชิ้นส่วนภายในอื่น ๆ เช่น ฝาปิดหม้อน้ำเสื่อมสภาพ ระบบหล่อเย็นรั่วซึม ปั๊มเสีย หรือท่ออุดตัน ทำให้พัดลมระบายอากาศทำงานผิดปกติ ก็จะเกิดการโอเวอร์ฮีทของเครื่องยนต์ อาจจะทำให้เกิดปัญหาเครื่องยนต์ดับได้ หากเกิดปัญหานี้ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อน อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ 

วิธีการตรวจเช็คหม้อน้ำ 

1. วิธีการเช็คระดับ น้ำในหม้อน้ำรถยนต์ 

1.1 เปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อตรวจเช็ค โดยควรเปิดขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน และขณะที่เครื่องเย็นอยู่เพราะหากเปิดในกรณีที่น้ำเดือดก็อาจจะกระเด็นมาโดนแต่หากมีความจำเป็นต้องเปิดในขณะที่เครื่องร้อนควรมีอุปกรณ์ป้องกันเช่นถุงมือหรือผ้าจับมือร้อนด้วย 

1.2 ตรวจเช็คระดับหม้อน้ำ ดูว่าน้ำในหม้อมีการระเหยหรือรั่ว หากมีการระเหยหรือรู้ว่าควรจะเอาเข้าศูนย์ แต่ถ้าหากน้ำลดลงไปก็สามารถเติมน้ำ เมื่อเติมน้ำเข้าไปแล้วให้สังเกตดูว่าน้ำลดลงไปหรือไม่หากลดลงไป ในปริมาณที่ผิดปกติ หมายความว่าอาจจะมีการรั่ว 

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

2. การตรวจเช็คหม้อน้ำตัน  

2.1 สีของน้ำในหม้อน้ำ ลักษณะจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม หรือสีแดง และมีคราบตะกรัน ก็อยู่มากผิดปกติ 

2.2 สถานะไฟบนหน้าปัดรถยนต์ หากสถานะไฟแจ้งเตือนขึ้นเป็นสีเหลือง หรือสีแดง หมายความว่าเกิดความผิดปกติที่หม้อน้ำรถ 

2.3 แอร์ไม่เย็น เมื่อรถมีการทำความร้อนมากจนเกินไปทำให้ส่งผลต่อแอร์รถยนต์ หากแอร์ไม่เย็น อาจจะเป็นสาเหตุ ที่แสดงถึงหม้อน้ำทำงานผิดปกติ 

วิธีการดูแลรักษา หม้อน้ำรถยนต์ 

1. ตรวจสอบน้ำยาหล่อเย็น ให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ ตามเครื่องหมาย min  กับ max ห้ามเติมน้ำยาหล่อเย็นให้เต็มหม้อเด็ดขาดเพราะจะทำให้แรงดันน้ำดันน้ำออกมา 

2. ห้ามเติมน้ำเปล่าลงไปในหม้อน้ำ เพราะการเติมน้ำเปล่าลงไปในหม้อน้ำจะทำให้เกิดสนิม หม้อรั่วและถูก เกิดปัญหาคราบ ตะกรัน หินปูน และปัญหาอื่นๆตามมา 

3. เติมน้ำยารักษาหม้อน้ำหรือน้ำยาหล่อเย็นที่มีคุณภาพ เช่น Reco-Cool เพื่อช่วยในการ ป้องกันสนิมกัดกร่อนหม้อน้ำ 

4. ตรวจเช็คสภาพอาการรั่วซึม อย่าลืมนำรถเข้าศูนย์ตรวจเช็คหรือหมั่นสังเกตหากมีกรณีรอยรั่วซึม นำรถเข้าศูนย์เพื่อแก้ไขปัญหาทันที  เป็นอย่างไรกันบ้าง เมื่อทราบกันแล้วว่า หม้อน้ำรถยนต์ มีความสำคัญมากขนาดไหน และมีวิธีการดูแลอย่างไร ก็อย่าลืมนำรถของคุณ เข้าตรวจเช็คสภาพอย่างสม่ำเสมอตามรอบ ไม่เพียงแค่ หม้อน้ำรถยนต์เท่านั้น ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถของเรา เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง 

อ่านเพิ่มเติม: เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์

1 ธันวาคม 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

เรื่องควรรู้ เกี่ยวกับการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ ด้วยตนเอง

by yanyon 30 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์

สำหรับคนที่รักรถทั้งหลาย การดูแลเครื่องยนต์ก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่มีความสำคัญ เพราะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ยังทำให้เราสามารถเดินทางอย่างปลอดภัย และมั่นใจได้ว่า รถยนต์ของเราจะยังสามารถทำงานได้อย่างปกติ พาเราไปถึงที่หมาย อีกหนึ่งพื้นฐานของการดูแลเครื่องยนต์ที่ถูกต้อง นั่นก็คือการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รถยนต์ เพราะปกติแล้วการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รถยนต์ นั้น จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการใช้งาน

วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจและทำความรู้จักกัน เรื่องควรรู้ เกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ ด้วยตนเอง 

คุณสมบัติของน้ำมันเครื่อง 

น้ำมันเครื่อง คือสารหล่อลื่นที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เพื่อไม่ให้ชิ้นส่วนภายในรถยนต์ หรือเครื่องยนต์ เกิดการเสียดสีหรือกัดกร่อนจนเกินไป รวมไปถึงยังลดการสึกหรอของโลหะ ขณะที่รถยนต์ในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นคณะออกตัวหรือสตาร์ทรถ น้ำมันเครื่องช่วยระบายความร้อน ให้ชิ้นส่วนทำงานได้อย่างปกติ ป้องกันการเกิดสนิม คราบเขม่า และการสะสมของสิ่งสกปรก รวมไปถึงโครงโลหะต่าง ๆ ที่อาจจะไปอุดตันตัวเครื่อง และที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยรักษาคุณภาพของน้ำมันไม่มีความหนืด น้ำมันเครื่องจึงเปรียบเสมือนกับตัวสูบฉีดหัวใจของเครื่องยนต์ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ 

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

เมื่อไหร่ที่ควรจะมีการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รถยนต์

1. เปลี่ยนตามระยะทาง 

โดยปกติแล้วสำหรับรถยนต์ที่มีการใช้งานไปซักระยะหนึ่ง ควรจะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก ๆ 8,000-10,000 กิโลเมตร กรณีที่มีการใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพพรีเมียม อาจจะทำให้สามารถวิ่งได้ถึงระยะทาง 15,000 กิโลเมตร โดยการจะเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเครื่องแบบไหนให้พิจารณาดังนี้ 

1.1 กรณีที่ใช้น้ำมันเครื่องธรรมดา เปลี่ยนที่ระยะ 7,000 ถึง 7,500 กิโลเมตร 

1.2 กรณีที่ใช้น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000 ถึง 20,000 กิโลเมตร 

2. เปลี่ยนตามระยะเวลา 

ในอีกกรณีหนึ่งคือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา โดยไม่ต้องดูเลขไมล์ แต่ก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนด โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ 

2.1 กรณีที่ใช้น้ำมันเครื่องธรรมดาควรเปลี่ยนทุก ๆ 6 เดือน 

2.2 กรณีที่ใช้น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ควรเปลี่ยนทุก ๆ 6-9 เดือน 

2.3 กรณีที่เป็นน้ำมันเครื่อง สังเคราะห์แท้ควรเปลี่ยนทุก ๆ 1 ปี 

ข้อเสียของการไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา หรือเลขไมล์ที่กำหนด 

1. เครื่องอืดเร่งไม่ขึ้น คันเร่งไม่มีความตอบสนองเนื่องจากว่าน้ำมันเครื่องหนืดเพราะมีการใช้งานมายาวนาน 

2. ชิ้นส่วนภายในสึกหรอ เนื่องจากโลหะมีการเสียดสีกันตลอดเวลาเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน จึงทำให้ประสิทธิภาพในการหล่อลื่นลดลง ทำให้อุปกรณ์สึกหรอ 

3. มลพิษ เนื่องจากเครื่องยนต์ทำงานหนักทำให้เกิดการปล่อยมลพิษออกมามากขึ้น 

4. ทำให้รถเปลืองน้ำมัน เนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของเครื่องยนต์จึงทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้น 

  การ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง 

1. เตรียมรถของคุณให้พร้อม 

วิธีการคือ หาสถานที่จอดรถที่เป็นพื้นราบ ดับเครื่องยนต์ พร้อมใส่เบรกมือ ต้องปล่อยให้น้ำมันเครื่องหรือตัวเครื่องเย็นตัวลงสักพัก สามารถใช้แม่แรงยกรถของคุณขึ้น 

2. ทำการเปิดฝาครอบน้ำมัน  

ตำแหน่งฝาครอบน้ำมันสามารถดูได้จากคู่มือรถ เปิดออก 

3. วางภาชนะ  

ขนาดที่ใหญ่พอไว้ใต้รูถ่ายน้ำมันเครื่อง และหาตำแหน่งรูถ่ายน้ำมันเครื่องใต้ท้องรถ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นน๊อตตัวเดียวอยู่ด้านล่างสุดของอ่างน้ำมันเครื่อง 

4. ทำการถ่ายน้ำมันเก่าออก 

ปล่อยให้น้ำมันเก่าไหลออกจนหมดซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เสร็จแล้วให้หาตำแหน่งตัวกรอง ตัวกรองนี้จะเหมือนกับตัวกรองที่เรากำลังจะนำมาเปลี่ยน 

5. ใส่ตัวกรองเข้าไปใหม่ 

โดยอย่าลืมทำความสะอาดที่รองรับตัวกรองน้ำมัน ราคาน้ำมันบาง ๆ บนปะเก็นตัวกรองตัวใหม่ เสร็จแล้วให้นำ น็อตไขกลับเข้าไปให้แน่นด้วยประแจ 

6. เติมน้ำมันใหม่ 

ค่อย ๆ เติมน้ำมันลงไปอย่าให้หก โดยวัดระดับน้ำมันด้วยแท่งวัดระดับน้ำมันเครื่องทุก ๆ การเติม 2 ลิตร ถ้าน้ำมันเครื่องรถลงให้เติมเพิ่ม 

7. ทำความสะอาด กำจัดน้ำมันเก่า และตัวกรองเก่าอย่างถูกวิธี 

ห้ามเก็บรวมทิ้งกับของเสียในบ้าน หรือทิ้งไปตามท่อระบายน้ำเพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ต้องปิดในภาชนะที่ปิดสนิท เขียนฉลากกำกับ แล้วส่งไปยังสถานีบริการหรือศูนย์รีไซเคิลใกล้บ้าน 

ถ้าหากไม่อยากให้รถของคุณหมดอายุการใช้งานอย่างรวดเร็ว การดูแลรักษาเครื่องยนต์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่คุณทำได้ และคุณสามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง นั่นก็คือการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ ซึ่งหวังว่าวันนี้คงจะเป็นประโยชน์กับคุณไม่มากก็น้อย อย่าลืมดูแลรักษารถของคุณให้ดีให้อยู่กับเราไปนาน ๆ 

อ่านเพิ่มเติม: ออกรถปีชง

30 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

เคล็ด (ไม่ลับ) ออกรถปีชง สำหรับสายมู ยังไงให้ปัง

by yanyon 29 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
ออกรถปีชง

สำหรับไปหลายคนที่ต้องการจะออกรถ นอกจากหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องรถแล้ว อีกอย่างที่ติดมากับความเชื่อของคนไทย รวมไปถึงคนไทยเชื้อสายจีน นั่นคือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของการออกรถในปีชง

วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันบ้าง เราสามารถออกรถในปีชงได้หรือไม่ รวมไปถึง เคล็ด (ไม่ลับ) สำหรับสายมู กับ ความเชื่อ ออกรถปีชง ยังไงให้ปัง

ปีชงคืออะไร ปีชงนั้น เป็นความหมายในทางโหราศาสตร์ของชาวจีน ซึ่งคำว่า ชง ในภาษาจีนแปลว่าการปะทะ โดยเกี่ยวข้องกับ “องค์เทพเจ้าไท่ส่วย” หรืออีกนามหนึ่งคือ เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา ซึ่งจะมีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตของคนที่อยู่ในปีนักษัตรนั้น กล่าวคือ ถ้าคนที่ดวงอยู่ในปีชง จะทำมาค้าขาย ทำธุรกิจ หรือทำเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตนั้น ก็จะเกิดอุปสรรค และค่อนข้างประสบความสำเร็จได้ยาก รวมไปถึง ด้านการงาน การเงิน และเรื่องอุบัติเหตุ

ข้อห้ามในปีชง

สำหรับคนที่เกิดปีชง ไม่ควรไปร่วมพิธีกรรมที่เป็นงานอวมงคล เช่น งานศพ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าถ้าจำเป็นต้องไปร่วมงานศพจริง ให้นำกิ่งทับทิมติดตัวไปด้วย และเมื่อเข้าบ้านให้ใช้น้ำสะอาดใส่ในเข่งทับทิมและพรมให้ทั่วตัว ดวงชะตาของคนที่เกิดปีชง อาจจะส่งผลกระทบถึงร่างกายและการเจ็บป่วย แต่ที่สำคัญคืออุบัติเหตุ ผู้คนจึงไม่ค่อยนิยม ออกรถ ปีชง

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

เคล็ด (ไม่) ลับ ออกรถ ปีชง ยังไงให้ปัง

จริง ๆ แล้วเราสามารถออกรถ ปีชงได้และยังสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบา ตามความเชื่อ ซึ่งเราสามารถออกรถได้ตามฤกษ์การออกรถของปีนั้น ๆ รวมไปถึงหาวิธีการแก้เคล็ด เพื่อให้ดวงชะตาของเราดีขึ้น และตามความเชื่อแบบจีน ก่อนการออกตรวจในช่วงปีชง สามารถทำได้คร่าว ๆ ดังนี้

1. หมั่นทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ เช่น โคกระบือ ปล่อยนกปล่อยปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาไหล และตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญในครั้งนี้ ทำให้การออกรถราบรื่นในช่วงปีชง

2. ทำบุญช่วยเหลือบริจาค ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคโลหิต หรือการบริจาคโลงศพ ช่วยเหลือคนพิการ เด็กด้อยโอกาส ก็จะเป็นการหนุนนำและเสริมดวง

3. สวดมนต์ไหว้พระ ร่วมทางเดินสายไหว้พระ 9 วัด ปฏิบัติธรรม ถือศีล ทำจิตใจให้สงบ แนะนำวัดที่เน้นเรื่องของการแก้ปีชง

3.1 วัดมังกรกมลราวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ อยู่ที่เยาวราช เด่นในเรื่องของการแคล้วคลาด ปลอดภัย

3.2 วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ เด่นเรื่องเสริมสิริมงคลคุ้มครองดวงชะตา

3.3 วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ หรืออีกชื่อวัดเล่งเน่ยยี่ 2 อยู่ที่จังหวัดนนทบุรี ขอพรเสริมความเป็นสิริมงคล

4. ออกรถให้ตรงกับสีมงคล

การ ออกรถปีชง ให้ตรงกับสีมงคลนั้น ควรจะออกตามสีประจำวันเกิดของเจ้าของรถ ตามหลักของการถูกโฉลกดวง เป็นการเสริมอายุปราศจากโรคภัย และอุบัติเหตุ ตามความเชื่อ โดยสีประจำวันเกิดสำหรับคนที่ออกรถ เช่น วันอาทิตย์ เหมาะกับสีเหลือง สีขาว สีบรอนซ์เงิน ไม่ควรออกสีโทนน้ำเงิน , วันจันทร์ สีชมพู สีโอรส สีแดง แต่ห้ามเป็นสีแดงสด เป็นต้น

5. ออกรถในวันมงคล

นอกจากสีประจำวันเกิดแล้ว การออกรถในวันมงคลก็เป็นสิ่งที่โดยปกติคนธรรมดาทั่วไปทำกัน ดังนั้นคนที่เกิดปีชงก็สามารถทำได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง เช่น คนที่เกิดวันพฤหัสบดี ไม่ควรออกรถในวันเสาร์ หรือคนที่เกิดวันเสาร์ ไม่ควรออกรถในวันพุธ เป็นต้น

6. พกเครื่องรางแก้ปีชง

เครื่องรางตามทัศนคติความเชื่อก็สามารถป้องกันเภทภัยจากปีชงได้ เช่น ใบทับทิม บูชาเครื่องรางสัตว์มงคล ปี่เซียะ เป็นต้น สามารถนำไปในวันออกรถได้
หวังว่าทุกคนที่อยากจะ ออกรถปีชง จะมีความสบายใจขึ้น สุดท้ายแล้วการออกรถนั้นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีนอกจากความเชื่อเรื่องดวงต่าง ๆ คือความไม่ประมาทของการขับรถ เพราะการขับรถบนท้องถนน สิ่งที่จะต้องมีมากกว่าทัศนคติและความเชื่อ คือสติและความพร้อมของผู้ขับขี่ แต่ความเชื่อเหล่านี้ อย่างน้อยก็ทำให้เราสบายใจเมื่อเราได้ปฏิบัติ ถือว่าไม่มีถูกผิด

อ่านเพิ่มเติม: ต่อใบขับขี่รถยนต์

29 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

คลิก ออนไลน์ ต่อใบขับขี่รถยนต์ ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้วสัมผัส

by yanyon 28 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
ต่อใบขับขี่รถยนต์

ใบขับขี่ เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดว่า สำหรับผู้ที่ขับรถหรือใช้รถทุกคนจะต้องมี โดยวิธีการคือต้องพกติดตัวไว้เสมอ ดังนั้นทุกคนต้องให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการต่อใบขับขี่ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันนี้การต่อใบขับขี่หรือการทำใบขับขี่นั้น แทบจะเรียกได้ว่าสะดวกสบาย ตอบโจทย์ทุกคนที่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้

ดังนั้นในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ คลิก ออนไลน์ ต่อใบขับขี่รถยนต์ ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้วสัมผัส

ชนิดของใบขับขี่ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

1. ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ชนิดชั่วคราว

เป็นใบขับขี่สำหรับผู้ที่ทำใบขับขี่เป็นครั้งแรก มี 3 ประเภทคือ ใบขับขี่ชนิดชั่วคราวอายุ 2 ปี ใบขับขี่รถยนต์สามล้อชั่วคราวชนิด 2 ปี และใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราวอายุ 2 ปี โดยผู้ที่ขับขี่จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ มีค่าธรรมเนียมในการทำใบขับขี่ชนิดนี้อยู่ที่ 100 บาท

2. ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล

หลังจากได้รับใบขับขี่ชั่วคราวมาแล้ว 1 ปี เมื่อ ต่อใบขับขี่รถยนต์ ก็จะได้รับใบขับขี่ชนิดอายุ 5 ปี มีค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ชนิดนี้อยู่ที่ 500 บาท

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

การต่อใบขับขี่ออนไลน์ 

สำหรับผู้ที่ต้องการจะต่อใบขับขี่ออนไลน์ สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ ของกรมขนส่งทางบก โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทำการอบรมออนไลน์ โดยไม่ต้องมาอบรมที่กรมขนส่ง โดยมีขั้นตอนการอบรมดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการ ต่อใบขับขี่ออนไลน์

  1. เข้าเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com 

2.   ในกรณีที่อบรมเป็นครั้งแรก จะต้องทำการลงทะเบียนก่อน โดยคลิกไปที่ ลงทะเบียน หลังจากนั้นกรอกข้อมูลส่วนตัว คลิกเข้าสู่ระบบได้ทันที

3.   คลิกการเข้าร่วมอบรม โดยมีการทำแบบทดสอบก่อนการอบรม 

4.   เมื่อทำแบบทดสอบก่อนการอบรมเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกชมวิดีโอการอบรม โดยการดูวิดีโอการอบรมไม่สามารถกดข้ามได้ 

5.   เมื่อชมวิดีโอจนจบแล้ว จะต้องทำแบบทดสอบหลังการอบรม

6.   หลังจากนั้นให้ทำการตรวจสอบและบันทึกหน้าจอแสดงผลว่าผ่านการอบรม เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับจากการผ่านการอบรม

วิธีจองคิว ต่อใบขับขี่ออนไลน์ ผ่าน DLT Smart Queue

1.   เข้าเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com หรือจะเข้าไปดาวน์โหลด Application DLT Smart Queue ได้ทั้งระบบแอนดรอยด์ และ 

2.   ลงทะเบียน (สำหรับคนที่เคยใช้ครั้งแรก) ให้กรอก เลขบัตรประจำตัวประชาชน สร้างรหัสผ่าน เบอร์โทรศัพท์ อีเมล LINE ID (ไม่บังคับ)  

3.   กดที่ จองคิว

4.   เข้าสู่ระบบ ด้วยเลขบัตรประชาชน และรหัสผ่านที่ได้ลงทะเบียนไว้

5.   เลือกสำนักงานขนส่งที่ต้องการต่อใบขับขี่ และเลือกประเภทงานใบอนุญาตขับขี่

6.   เลือกอายุการต่อใบขับขี่ เช่น ต่อใบขับขี่ 5 ปีเป็น 5 ปี หรือ 2 ปีเป็น 5 ปี

7.  เลือกวัน และเวลาที่ต้องการเข้าไปต่อใบขับขี่ จากนั้นยืนยันการจอง และบันทึกหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน ไปตามวันและเวลาที่กำหนด
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับการ ต่อใบขับขี่ออนไลน์ ด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ก็อาจจะทำให้หลาย ๆคนมีความสะดวกสบายมากขึ้น ศึกษาข้อมูลเพื่อลดระยะเวลาและความเสี่ยง เพื่อตัวคุณและคนที่คุณรัก

อ่านเพิ่มเติม: ออกรถยนต์ปี 2565

28 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

ฤกษ์ดี ออกรถยนต์ปี 2565 แคล้วคลาด ปลอดภัย สบายใจตลอดปี

by yanyon 25 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
ออกรถยนต์ปี 2565

ต้องยอมรับกันว่า ศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ นั้นยังคงฝังลึกอยู่กับคนไทยมาอย่างช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับฤกษ์งามยามดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานแต่ง เรื่องของการออกรถ ซึ่งวันนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ฤกษ์ดี ออกรถยนต์ปี 2565 แคล้วคลาด ปลอดภัย สบายใจตลอดปี ฤกษ์ดี หมายถึง ความพร้อมในการทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จได้ดังหวัง เป็นอย่างดีและสมบูรณ์ที่สุด 

5 ข้อปฏิบัติ ฤกษ์ดี ออกรถยนต์ปี 2565 แคล้วคลาด ปลอดภัย สบายใจตลอดปี

1.  เตรียม ฤกษ์ดี ออกรถยนต์ปี 2565 ตามวันเกิด

คนเกิดวันพฤหัสบดี ควรออกรถ วันจันทร์ และวันศุกร์ ไม่ควรออกรถ วันเสาร์ คนเกิดวันศุกร์ ควรออกรถ วันจันทร์ วันอังคาร วันศุกร์ และวันอาทิตย์ ไม่ควรออกรถ วันพุธ (กลางคืน) เป็นต้น

2. ออก รถยนต์ปี 2565 การเตรียมเลขทะเบียนรถ

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขอยู่คู่คนไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน ตัวเลขของการออกรถ มีความเกี่ยวข้องกับเลขที่เป็นกาลกิณี ในขณะเดียวกัน ตัวเลขที่เป็นมงคล ก็สัมพันธ์แม้กระทั่งกับตัวอักษร เช่น คนเกิดวันจันทร์ ไม่ควรมี สระ  คนเกิดวันอังคาร ไม่ควรมี ก ข ค ฆ ง เป็นต้น

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

3.  ออก รถยนต์ปี 2565 ด้วยการบูชาแม่ย่านาง ด้วยพวงมาลัยตามสีริบบิ้น

สำหรับแม่ย่านาง ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถที่คนไทยทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าการกราบไหว้บูชาแม่ย่านาง ก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ โดยปกติของการออกรถทั่วไป ดังนั้นนอกจากการมองหาฤกษ์งามยามดี การเตรียมพวงมาลัย กราบไหว้แม่ย่านางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้ โดย คนเกิดวันอาทิตย์ ริบบิ้นพวงมาลัยควรเป็นสีเขียว คนเกิดวันจันทร์ สีม่วง คนเกิดวันอังคาร เป็นต้น

4.  ออก รถยนต์ปี 2565 ให้โชคดีมีชัยด้วยคุณพ่อหรือคุณแม่ หรือผู้ที่มีชื่อมงคลไปรับรถ

การนึกถึงผู้มีพระคุณเช่นคุณพ่อหรือคุณแม่ และมีโอกาสได้พาท่านไปเจิมรถ ถือว่าวันนั้นเป็นวันมงคล เป็นวันที่ ฤกษ์ดี อีกวันหนึ่ง

5.  นำรถไปเจิมตามวัด หรือกับบุคคลที่เรามีความเชื่อและศรัทธา 

สำหรับคนที่ออกรถยนต์ นอกจาก ฤกษ์ เมื่อออกรถยนต์มาใหม่ ๆ ก่อนการขับขี่ ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะนิยมนำรถไปเจิม กับบรรดาเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เกจิพระอาจารย์ชื่อดัง ผู้หลักผู้ใหญ่ หมอธรรม เป็นต้น เป็นอย่างไรบ้างสำหรับเรื่องราวดี ๆ ของ ฤกษ์ดี ออก รถยนต์ปี 2565 สุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เล่าไป ล้วนแต่เป็นความเชื่อของคนมาทุกยุคทุกสมัย แน่นอนว่าเมื่อเป็นความเชื่อยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าถูกหรือผิด และที่สำคัญ ฤกษ์ดี คือฤกษ์สะดวก หากเรามีความพร้อมไม่เป็นภาระในการออกรถ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

อ่านเพิ่มเติม: ประโยชน์ของ ไฟตัดหมอก

25 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

ประโยชน์ของ ไฟตัดหมอก รถยนต์ ต้องใช้เมื่อไหร่ ปลอดภัยหรือไม่ ?

by yanyon 23 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
ประโยชน์ของ ไฟตัดหมอก

ในเวลาที่เราใช้รถใช้ถนน อุปกรณ์ที่ช่วยในการมองเห็นที่มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ไฟรถ มีหลายครั้งที่เรามักจะขับรถในเวลากลางคืน แล้วเกิดทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ยากลำบาก และอีกสิ่งหนึ่งที่รบกวนการขับขี่ของเรา นั่นก็คือไฟรถของคู่สวนเลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถที่สวนมาเปิด ไฟตัดหมอก ในบางครั้งเราอาจจะรู้สึกรำคาญ โดยที่ไม่ทราบหรือว่าไฟตัดหมอกมันมีประโยชน์อย่างไร

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ไฟตัดหมอก และ ประโยชน์ของ ไฟตัดหมอก รถยนต์ ต้องใช้เมื่อไหร่ ปลอดภัยหรือไม่ ?

การทำงานของไฟตัดหมอก

ลักษณะการทำงานของระบบไฟตัดหมอกนั้น จะให้ความสว่างเช่นเดียวกับสปอตไลต์ โดยจะทำการส่องระนาบไปกับพื้น หรือส่องพื้นในลักษณะตกระยะไกล สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล และมีความสว่างมากเมื่อเจอกับสภาวะฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัด 

ประโยชน์ของ ไฟตัดหมอก รถยนต์

ในเวลาปกติของการขับรถขี่รถยนต์โดยทั่วไป คนปกติส่วนใหญ่ไม่ได้นิยมเปิดไฟตัดหมอก หากเปิดไฟตัดหมอก ก็จะทำให้เกิดความรบกวนต่อผู้ขับขี่ที่สวนมา ดังนั้นโดยปกติจึงนิยมเปิด ไฟตัดหมอก ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

1. ฝนตกหนัก กรณีที่ฝนตกหนักไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม การเปิด ไฟตัดหมอก จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นให้กับเจ้าของรถ 

2. เปิดใช้งาน หลังเหตุการณ์ฝนตกหนัก เนื่องจากปัญหาแสงไฟสะท้อนบนพื้นถนน หลังฝนตกหนักเพื่อให้มองเห็นทัศนวิสัยที่ชัดเจน และลดปัญหาแสงไฟสะท้อนบนพื้นถนน 

3. เปิดในช่วงเวลากลางคืนที่มีแสงน้อย หรือบนถนนที่ไม่มีไฟรายทาง แต่หากในกรณีที่มีรถสวนมา เราควรทำการปิดไฟตัดหมอกทันทีเพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่น

4. กรณีที่มีการขึ้นหรือลงเขา และเจอปัญหาหมอกจาก เมื่อเราต้องเดินทางไปท่องเที่ยวหรืออยู่บนเขาสูง ในช่วงหน้าหนาวที่อากาศเย็นจัด 

กฎหมายว่าด้วยเรื่อง ไฟตัดหมอก

กฎหมายระบุไว้ว่า ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกพุทธศักราช 2522 มาตราที่ 11 ว่าด้วยเรื่องของ ไฟตัดหมอก สามารถใช้งานได้ตามกฎหมายกำหนดโดยวิ่งอยู่ในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น กรณีเกิดฝุ่นควันหมอก ฝุ่นละออง ฝนตกหนัก หรือสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง หรือรถที่สวนมาในระยะของแสงไฟ 150 เมตร สามารถเปิดใช้งานได้ ยกเว้นกรณีนอกเหนือจากนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบถึงความผิดปกติ ก็ถือว่าให้อยู่ในความผิดและเสียค่าปรับ
แม้ว่า ไฟตัดหมอก จะมีประโยชน์ก็จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ใช้รถใช้ถนน ก็จะต้องมีจิตสำนึกในการขับรถ ไม่ควรมีการเปิด ไฟตัดหมอก พร่ำเพรื่อ ตัวแทนที่จะทำให้เราปลอดภัย อาจจะทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น ประสบอุบัติเหตุได้

อ่านเพิ่มเติม: เลือกซื้อ ยางรถยนต์

23 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

เคล็ดลับ ในการเลือกซื้อ ยางรถยนต์ และการดูแลรักษา

by yanyon 21 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
เลือกซื้อ ยางรถยนต์

แน่นอนว่าสำหรับรถยนต์แต่ละประเภท ก็จะมีการใช้ ยางรถยนต์ คนละประเภท และเหมาะสมกับการใช้งาน และการขับขี่ที่สะดวกสบาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ เคล็ดลับ ในการเลือกซื้อ ยางรถยนต์ และการดูแลรักษา โดยก่อนที่เราจะไป ทำความรู้จักกับการเลือกยางรถ  และดูแลรักษา ยางรถยนต์ ที่ถูกต้อง เราควรจะรู้จักประเภทของยางรถแต่ละประเภทก่อน

ประเภทของเลือกซื้อ ยางรถยนต์ สามารถแบ่งออกได้ 5 ประเภท

1. อย่างนุ่ม เงียบ เป็นยางรถมาตรฐานทั่วไปที่มีการใช้งานค่อนข้างมาก 

2. ยางรถยนต์สปอร์ต เป็นยางรถที่มีความเงียบ นุ่ม 

3. ยางประหยัดน้ำมัน ยางประหยัดน้ำมันเหมาะกับรถอีโคคาร์ 

4. ยางออฟโรด เหมาะกับการใช้งานในสภาพพื้นผิวถนนที่ลุย เช่น พื้นทราย ลุยฝน เป็นต้น

5. ยาง Run Flat ยี่ห้อต่าง ๆ

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

เคล็ดลับ ในการเลือกซื้อ ยางรถยนต์

1. เราควรเลือกยางตามประเภทของการใช้งาน โดยควรเลือกยางที่สามารถทำความเร็วได้ดี พิจารณาจากการใช้งาน อัตราน้ำหนัก และรหัสความเร็วของยางแต่ละยี่ห้อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น

2. เช็กยี่ห้อ เปรียบเทียบรุ่นของยาง และราคา เราสามารถเช็กราคายางจากขนาดของยางเดิม ยี่ห้อเดิม รวมไปถึงการเช็กราคายางจากยี่ห้ออื่น และคุณสมบัติของยาง ว่าเหมาะสมกับรถของเราหรือไม่

3. เช็กเรื่องของการรับประกัน แต่ละร้าน ศึกษาเกี่ยวกับรุ่นและยี่ห้อแล้ว อย่าลืมดูรีวิวของการบริการการรับประกันจากแต่ละร้านสาขาเปรียบเทียบกัน ก่อนการเลือกซื้อ

4. เช็กสัปดาห์และปีที่ผลิตที่แก้มยาง ตรวจสอบคุณภาพของยาง เลือกใช้ ยางรถยนต์ ที่ผลิตค่อนข้างใหม่หรือในปีล่าสุด ก็จะลดปัญหาเรื่องของสภาพยางเก่า

5. ควรเปลี่ยนยางพร้อมกันทั้ง 4 เส้น เนื่องจากปกติยางทั้ง 4 เส้นมักจะ มีการสึกหรอที่ค่อนข้างเท่าเทียมกัน ดังนั้นเมื่อต้องการจะเปลี่ยนยาง ควรจะเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 เส้น

วิธีการดูแลรักษา ยางรถยนต์ ให้สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า

1. รู้จักตัวเลขที่แก้มยาง อ่านสัญลักษณ์ที่แก้มยางว่ารถเราสามารถรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ และวิ่งเร็วได้ที่สุด กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง

2. หมั่นตรวจสอบความดันลมยาง อย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือในกรณีที่มีการเดินทางในระยะไกล ควรมีการตรวจสอบลมยางทุกครั้ง

3. ไม่ควรบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก ที่กำหนดไว้สูงสุด เนื่องจากอาจจะทำให้เกิด ปัญหาเกี่ยวกับยาง

4. สังเกตอาการที่ยางรถยนต์สม่ำเสมอ หากมีอาการต่อไปนี้ควรจะมีการเปลี่ยนยาง เช่น ยังมีอาการแตกลายงา แก้มยางฉีกขาด เป็นต้น ให้รีบเปลี่ยนยาง
ยางรถยนต์ ถือเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เราสามารถเดินทางอย่างปลอดภัย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเราก่อนจะมีการเดินทาง ควรจะสังเกตและตรวจสอบคุณภาพของ ยางรถยนต์ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหรืออยู่ในสถานการณ์ ที่ไม่คาดฝัน และเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์อื่น ๆ ด้วย

อ่านเพิ่มเติม: ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้รถ

21 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

5 พฤติกรรมทำร้ายรถยนต์ ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้รถ ที่คุณอาจคิดไม่ถึง !

by yanyon 18 พฤศจิกายน 2022
written by yanyon
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้รถ

แน่นอนว่าการขับขี่รถยนต์ในแต่ละวัน อาจจะทำให้รถยนต์ของเรา สึกหรอไปตามการใช้งานได้ และเรายังสามารถบำรุงรักษา รวมไปถึงเราสามารถเปลี่ยนคันใหม่ได้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่หลาย ๆคนมักจะมองข้ามวิธีการยืดอายุการใช้งานของรถเรา ให้สามารถอยู่กับเราได้นานขึ้น ซึ่งบางอย่าง มันเป็นพฤติกรรม ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะ ทำร้ายรถยนต์ ของเรา วันนี้เราจะพาคุณไปดู 10 พฤติกรรมผิด ๆ ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้รถ ทำร้ายรถยนต์ ที่คุณอาจคิดไม่ถึง !

5 พฤติกรรมผิด ๆ ทำร้ายรถยนต์ ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้รถที่คุณอาจคิดไม่ถึง !

1. ไม่ใส่เบรกมือขณะจอดรถบนทางลาด

เมื่อมีการจอดรถบนทางลาดหากคุณไม่ยอมใส่เบรกมือ หรือเข้าเกียร์ P ทุกครั้ง จะทำให้รถแบกรับน้ำหนักมากเกินพิกัด และส่งผลต่อระบบชุดเกียร์ ทำให้ชุดเกียร์มีความเสียหาย และอาจจะต้องซ่อมชุดเกียร์ใหม่ทั้งหมด

2. การเข้าเกียร์ถอยหลังเดินหน้า 

เป็นพฤติกรรมที่ทำลายเกียร์โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะกับเกียร์ที่เป็นเกียร์ออโต้ ในกรณีที่เราเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง ในขณะที่รถยังไม่จอดสนิทนั้น จะทำให้ชุดเกียร์เกิดปัญหา ทำลายระบบขับเคลื่อนและส่งกำลังโดยตรง ซึ่งอาจจะลามไปถึงเครื่องยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลารถ ดังนั้นหากต้องการจะเปลี่ยนเกียร์รถควรจะจอดรถให้สนิทก่อน

C:\Users\thanapornhan\AppData\Local\Microsoft\Windows\INetCache\Content.Word\2.png

3. บรรทุกของหนักมากเกินความจำเป็น 

การบรรทุกของหนักมากเกินความจำเป็น จะส่งผลต่อระบบเครื่องยนต์ รวมไปถึงระบบการสั่นสะเทือน ระบบส่งกำลัง และระบบเบรก นอกจากนี้ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นหากคุณต้องการให้ประหยัดพลังงาน และไม่อยากให้เครื่องยนต์ของคุณทำงานหนักจนเกินไปคุณควรจะมีการบรรทุก อยู่ในเกณฑ์ที่รถของเราสามารถรับได้ สิ่งของหรือสัมภาระที่ไม่จำเป็นก็ควรจะนำออกไปทิ้งหรือเก็บให้เรียบร้อย

4. ไม่มีการใช้เกียร์ต่ำขณะขึ้นลงเขาหรือทางลาดชัน 

สำหรับผู้ที่ใช้เกียร์ออโต้หรือเกียร์อัตโนมัติ และยังมีความรู้สึกว่ารถของเรายังสามารถทำกำลังได้ขณะขับเคลื่อนบนทางลาดชัน อาจจะส่งผลให้อุปกรณ์เกียร์เสียรูป และเกิดความร้อนสูง และเมื่อมีการใช้เบรกบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้ระบบเกียร์หรือระบบเบรกพังได้

5. ไม่มีการนำรถเข้าตรวจเช็กตามระยะเวลาหรือรอบที่กำหนด 

เมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับรถ จนเกิดไฟสัญญาณเตือน แล้วคุณมองข้ามและคิดว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย จึงไม่ยอมนำรถเข้าตรวจ อาจจะส่งผลลุกลามไปจนถึงต้องจอดข้างทางและเสียเงินเสียเวลา ดังนั้นหากเจอสัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับรถคุณ ควรนำรถเข้าตรวจที่ศูนย์บริการ
เห็นหรือไม่ว่า พฤติกรรมบางอย่าง ก็เป็นการ ทำร้ายรถยนต์ โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเรามีรถยนต์สักคัน เราควรศึกษาวิธีการดูแลรักษารถยนต์ของเรา ลดละเลิกพฤติกรรมบางอย่างที่อาจจะ ทำร้ายรถยนต์ ของเราโดยไม่รู้ตัว

อ่านเพิ่มเติม: เปลี่ยน แบตเตอรี่รถยนต์

18 พฤศจิกายน 2022 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
  • …
  • 22

ติดตามเรา

Facebook Twitter Instagram Youtube

หมวดหมู่

  • ข่าวสาร (3)
  • บทความแนะนำ (220)
  • มอเตอร์ไซค์ (16)
  • รถยอดฮิต (35)
  • รีวิวรถ (17)
  • แต่งรถ (23)
  • ไม่มีหมวดหมู่ (9)

เรื่องล่าสุด

  • ข้อดี ข้อเสียของการซื้อ รถยนต์มือสอง แทนการซื้อ รถใหม่ป้ายแดง

    20 มีนาคม 2023
  • อย่ามองข้าม รถโดนน้ำท่วม วิธีเช็ค และ ข้อปฏิบัติ หลังน้ำท่วมที่คนมีรถต้องรู้

    31 มกราคม 2023
  • สังเกตอาการ เสียงรถยนต์ดัง ผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ เสียงดัง ผิดปกติบอกอะไรบ้าง?

    28 มกราคม 2023

เรื่องแนะนำ

  • ข้อดี ข้อเสียของการซื้อ รถยนต์มือสอง แทนการซื้อ รถใหม่ป้ายแดง

    20 มีนาคม 2023
  • อย่ามองข้าม รถโดนน้ำท่วม วิธีเช็ค และ ข้อปฏิบัติ หลังน้ำท่วมที่คนมีรถต้องรู้

    31 มกราคม 2023
  • สังเกตอาการ เสียงรถยนต์ดัง ผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ เสียงดัง ผิดปกติบอกอะไรบ้าง?

    28 มกราคม 2023
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram
  • Youtube

@2021 - All Right Reserved. Designed and Developed by ยานยนต์.net