ยานยนต์.net
  • หน้าแรก
  • ข่าวสาร
  • รถยอดฮิต
  • รีวิวรถ
  • บทความแนะนำ
@2021 - All Right Reserved. Designed and Developed by ยานยนต์.net
Author

yanyon

yanyon

บทความแนะนำ

ไม่รู้ไม่ได้แล้ว หม้อน้ำรถยนต์ สำคัญไฉน แบบใดเหมาะกับ รถยนต์ ของเรา

by yanyon 31 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
หม้อน้ำ

ใน รถยนต์ นั้นมีอุปกรณ์มากมายโดยเฉพาะ บริเวณเครื่องยนต์ต่าง ๆ และแน่นอนว่าปัญหาส่วนใหญ่ของเครื่องยนต์นั้นก็จะเกิดจาก ระบบที่มีการระบายความร้อนแบบผิดปกติ นั่นก็คือ บริเวณหม้อน้ำของรถนั่นเอง และมีหลายคนที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

วันนี้เราจึงจะพาทุกคน ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ หม้อ น้ำรถยนต์ ว่ามีความสำคัญแบบใด แล้วหม้อน้ำแบบใดที่เหมาะกับรถของเรา 

หม้อ น้ำรถยนต์ คืออุปกรณ์ที่มีความสำคัญของชิ้นส่วน รถยนต์ เป็นอุปกรณ์ในการแลกเปลี่ยนความร้อน และทำหน้าที่ในระบบหล่อเย็น วิธีการทำงานคือน้ำไหลตามโพรงเสื้อสูบ หลังจากนั้นเข้าสู่หม้อ น้ำทางด้านบน และไหลไปตามท่อ ซึ่งท่อเหล่านี้จะอยู่บริเวณกับรังผึ้ง ทำหน้าที่เป็นครีบระบายความร้อน สรุปง่าย ๆ คือ มีหน้าที่ในการช่วยระบายความร้อนจากรถ ตลอดจนการปรับอุณหภูมิในเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่ดีและเหมาะสม 

ประเภทของ หม้อ น้ำรถยนต์ 

1. อลูมิเนียม แบบฝาเป็นพลาสติก 

จริง ๆ แล้วชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในโรงงานผลิต รถยนต์ เกือบทุกประเภท และทุกยี่ห้อ เนื่องจากแบบอลูมิเนียมแบบฝาพลาสติก ข้อดีคือมีน้ำหนักเบา และราคาถูก นอกจากนี้ยังระบายความร้อนได้ดี และยังไม่เป็นสนิม หากเกิดการแตกหักบริเวณรอยต่อของพลาสติก ก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องซ่อม 

2. หม้อ น้ำรถยนต์ อลูมิเนียมทั้งใบ 

รถยนต์ บางคันก็นิยมใช้เป็นแบบอลูมิเนียมแบบทั้งใบ เป็นแบบที่ต้องมีการสั่งทำ และหาซื้อได้ค่อนข้างยาก มีข้อดีคือสามารถช่วยระบายความร้อน และมีความทนทานกว่าแบบอลูมิเนียมแบบฝาพลาสติก ข้อเสียคือราคาสูง และหากเกิดรั่วซึมก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น

3. หม้อทองแดง 

เป็นหม้อที่พบได้ในอายุรถเกิน 20 ปี ขึ้นไป เป็นหม้อที่ถูกพ่นด้วยสารกันสนิมเพื่อรักษาความคงทน แต่ตัวหม้อจะมีความหนัก มีความทนทานกว่าอลูมิเนียม ราคาค่อนข้างสูง และระบายความร้อนได้ช้ากว่าหม้ออลูมิเนียม 

วิธีการตรวจเช็ค เช็คปริมาณน้ำ 

1. เปิดฝา หม้อ น้ำรถยนต์ ขนาดเครื่องเย็น และควรจะสวมถุงมือจับของร้อน 

2. เช็คระดับน้ำว่ามีปริมาณลดลงไปมากเกินไปหรือไม่ หากมีปริมาณน้ำลดลงไปมากเกินความจำเป็น อาจจะเกิดจากสาเหตุการรั่ว วิธีการคือค่อย ๆ เติมน้ำลงไป ทิ้งไว้ข้ามคืน และตรวจสอบว่าน้ำยังรั่วอยู่หรือไม่ 

3. หากปริมาณน้ำยังลดอยู่ แต่มองไม่เห็นจุด หรือรอยรั่ว ให้นำรถเข้าเช็คอาการที่ศูนย์บริการทันที 

อย่าปล่อยให้ หม้อ น้ำรถยนต์ แห้ง เพราะ รถยนต์ ทุกประเภท มีความจำเป็นต้องใช้ในการหล่อเย็น และระบายความร้อน ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้แห้ง หรือเกิดความเสียหาย ดังนั้นเราจึงควรมีการเช็คระยะและนำรถเข้าศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์ว่ามีชิ้นส่วนใดชำรุดเสียหายหรือไม่ 

อ่านเพิ่มเติม: รถยนต์คันแรก

31 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

อยากมี รถยนต์คันแรก มี ค่าใช้จ่าย อะไรที่ต้องรู้ก่อนออกรถ

by yanyon 28 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
รถยนต์คันแรก

ปัจจุบันในชีวิตประจำวันของเรานั้น รถยนต์แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรา และแน่นอนว่าเมื่อเราสามารถมีกำลังทรัพย์ในการจ่ายได้มากขึ้น

ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนที่ยังไม่เคยมี รถยนต์คันแรก ไปดูสิว่าก่อนการจะซื้อรถนั้น มี ค่าใช้จ่าย อะไรที่จะต้องรู้ก่อนออกรถบ้าง

ค่าใช้จ่าย กับ รถยนต์ คันแรก มีอะไรบ้าง ?

1. เงินดาวน์และค่างวดผ่อนรถ 

ค่าใช้จ่าย สำหรับ รถยนต์ คันแรก ซึ่งเงินดาวน์นั้นคือเงินที่เราจ่ายเป็นก้อน เป็นจำนวนหนึ่ง ในครั้งแรกของการซื้อ หลังจากนั้นเงินต้นที่เหลือจะนำบวกเข้ากับดอกเบี้ยรายปี แล้วทำออกมาเป็นยอดผ่อนในแต่ละเดือน ยิ่งหากเราจ่ายเงินดาวน์มากเท่าไหร่ เงินต้นที่จะนำมาคิดดอกเบี้ยก็จะถูกลงเท่านั้น โดยมีสูตรการคำนวณการผ่อนรถง่าย ๆ นำราคารถ – เงินดาวน์ = ยอดจัดไฟแนนซ์ 

ยอดจัดไฟแนนซ์ × % อัตราดอกเบี้ย (เช่น 5 % หรือ 6%) 

นำดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่าย + ยอดไฟแนนซ์ = ยอดทั้งหมดที่จ่ายจริง 

นำยอดทั้งหมดที่ต้องจ่ายจริง ÷ จำนวนเดือนที่ต้องผ่อน เช่น 24 หรือ 36 เดือน = ค่างวดที่ต้องจ่ายแต่ละเดือน

2. ค่าประกันรถยนต์ 

อีกหนึ่ง ค่าใช้จ่าย ของการออก รถยนต์คันแรก หรือรถยนต์คันใดก็ตาม สิ่งที่ต้องเตรียมไว้คือเงินค่าประกันรถยนต์ โดยปกติแล้วหากเป็นรถใหม่ มือหนึ่ง จะนิยมเป็นประกันชั้น 1 แต่หากเป็นรถมือสอง อาจจะนิยมเป็นประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้น 3+ แล้วแต่กำลังทรัพย์ที่สามารถจ่ายได้ แต่ทั้งนี้ต้องทราบก่อนว่า ประกันแต่ละชั้น จะมีการคุ้มครองที่แตกต่างกันตามราคา หากเป็นรถใหม่ป้ายแดง จะนิยมทำประกันชั้น 1 เพราะสามารถครอบคลุมมากที่สุด 

  3. ค่า พ.ร.บ. รถยนต์และภาษี 

ตามที่กฎหมายกำหนด รถยนต์ทุกคันจะต้องมีการต่อทะเบียนทุกปี ซึ่งจะมีค่าบริการภาษีของรถยนต์แต่ละรุ่นไม่เท่ากัน โดยดูจากขนาดของเครื่องยนต์ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์ขนาด 1 – 600 C.C. จะคิด 44 ละ 50 สตางค์ ขนาดเครื่องยนต์ 601 – 1,800 C.C. คิดเป็น 44 ละ 1.50 บาท และเครื่องยนต์ขนาด 1,801 C.C. คิดเป็น C.C. ละ 4 บาท และพรบรถยนต์จะเริ่มต้นที่ราคา 600 บาทเป็นต้น 

4. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ 

แน่นอนว่าเมื่อซื้อ รถยนต์ คันแรก จำเป็นจะต้องเตรียมเงินในการตรวจเช็คระยะทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 6-12 เดือนต่อครั้ง 

5. ค่าน้ำมัน และ รายจ่ายอื่น ๆ 

สำหรับค่าน้ำมันรถนั้น ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและ รายจ่ายต่อเดือนโดยประมาณ อยู่ที่ประมาณเดือนละ 3,000 บาทขึ้นไป ส่วน ค่าใช้จ่าย อื่นเช่น ค่าล้าง แต่ง ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ เป็นต้น 

และนี่ก็เป็น ค่าใช้จ่าย ในการซื้อ รถยนต์คันแรก ที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบ ดังนั้นก่อนการซื้อรถใหม่ กฎมีการวางแผนการใช้เงินให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต เพราะในแต่ละส่วนนั้นล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามขาด หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายไป 

อ่านเพิ่มเติม: ยางรถสึก

28 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

ขับทุกวันไม่เคยรู้ ยางรถสึก เกิดจากสาเหตุใด มือใหม่หัดขับ ต้องรู้ มือเก่าต้องทราบ!

by yanyon 25 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
ยางรถสึก

ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ที่ห้ามมองข้ามอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ ยางรถยนต์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ ในการขับเคลื่อนให้รถของเราไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าหากยางรถยนต์ของเราอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมใช้งาน ก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ดังนั้นวันนี้เราจึงจะพาทุกคน ไปทำความรู้จัก ยางรถสึก เกิดจากอะไร และเป็นสิ่งที่ มือใหม่หัดขับ ต้องรู้ 

สาเหตุที่ทำให้ ยาง รถสึก 

1. เติมลมยางในปริมาณไม่เหมาะสม 

การเติมลมยางให้มีปริมาณที่เหมาะสม ถือเป็นความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากเราเติมลมยางอ่อนไป ก็จะทำให้รถของเรากินน้ำมัน แล้วทำให้ดอกยางสึกตรงขอบยางด้านนอก แต่ถ้าหากเราเติมลมยางแข็งไป ก็อาจจะทำให้ยางระเบิดได้ ดังนั้นควรจะเติมลมยางให้ถูกต้อง ตามคู่มือที่ระบุไว้ ให้เหมาะสมกับรถแต่ละคัน แต่ละประเภท 

2. การออกรถแบบรุนแรงเป็นประจำ หรือการเบรคฉุกเฉินเป็นประจำ 

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ ยางรถ สึก ที่ มือใหม่หัดขับ ไม่ควรเลียนแบบหรือไม่ควรทำตาม คือการออกตัว หรือการเบรครถแบบกระทันหัน เพราะจะทำให้ยางรถ เกิดการเสียดสีกับท้องถนน ทำให้ยางรู้สึกหล่อได้

3. บรรทุกน้ำหนักเกินไป 

การบรรทุกน้ำหนักมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดภาระกับดอกยาง หรือยางรถยนต์ของเรา เพราะจะทำให้ยางรถบิดหรือเสียดสีกับพื้นผิวถนนมากจนเกินไป เป็นสาเหตุทำให้ ยางรถ สึก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นมือเก่า หรือมือใหม่หัด ก็ไม่ควรบรรทุกหนักจนเกินไป 

4. ตั้งศูนย์ถ่วงล้อไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสม 

มือใหม่หัดขับ ต้องรู้ว่าการที่เราตั้งศูนย์ถ่วงล้อรถยนต์ไม่เหมาะสม ทำให้รอรถของเราไม่มีความสมดุล นอกจากจะทำให้ขับรถยังไม่มีทิศทางแล้ว ยังเป็นภาระให้กับยางด้านใดด้านหนึ่งที่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น 

5. พื้นผิวถนน 

แน่นอนว่าพื้นผิวถนนเอง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ยางสึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นผิวถนนที่มีความไม่เรียบ ขรุขระ 

6. ขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ 

สำหรับใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมือเก่าเก๋าเกม หรือ มือใหม่หัดขับ ที่ขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ ก็จะไปเป็นภาระของยางรถยนต์ที่จะเกิดแรงเสียดทาน และต้องทนกับอุณหภูมิที่มีความร้อนสูงเป็นปกติ จึงทำให้หน้ายางมีความสุขต่อได้เร็ว ส่งผลต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ มีอายุสั้นตามไปด้วย ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ ยางรถสึก ดังนั้น มือใหม่หัดขับ และมือเก่าเซียนรถ ก็ควรจะเรียนรู้ และหาข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้เราจำเป็นต้องเปลี่ยนยางบ่อยจนเกินไป สนจะเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ก็ยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่ มันคงไม่ดีแน่หากเราต้องเปลี่ยนยางรถใหม่ทุก ๆ ปี 

อ่านเพิ่มเติม: รีโมทรถยนต์ เสีย

25 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

รู้ไว้ใช่ว่า รีโมทรถยนต์ เสีย ทำงานผิดปกติ เกิดจาก สาเหตุ ใด พร้อมวิธีการแก้ไข

by yanyon 22 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
รีโมทรถยนต์ เสีย

  คงเป็นปัญหาโลกแตกเลย สำหรับคนไหนที่ขับขี่รถยนต์ในปัจจุบันนี้แล้วเกิดปัญหา รีโมทรถยนต์ เสีย เพราะจู่ ๆ ก็ทำงานไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร

วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปหาคำตอบกับ สาเหตุ ที่ รีโมทรถยนต์ เสีย หรือทำงานผิดปกติ เกิดจากอะไร มีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้าง 

  รีโมทรถเสียเกิดจากอะไรได้บ้าง มีวิธีแก้ไขอย่างไร ?

1. กดรีโมทปกติแต่รถไม่ติด ใช้งานไม่ได้ ไฟเลี้ยวไม่กระพริบ สาเหตุ 

อาจจะเกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์หมด วิธีการแก้ไขคือ สามารถหารถยนต์ใกล้เคียงที่ผ่านไปมา และขอพ่วงชาร์จไฟ เพื่อทำการสตาร์ทรถให้ติดก่อน แล้วทำการไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ทันที แต่หากอยู่ในจุดที่ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากรถใครได้ในบริเวณนั้น ก็แนะนำให้โทรหาประกัน หรืออู่ใกล้ ๆ 

2. กดแล้วไม่มีเสียงสัญญาณตอบรับจากรถ ไฟเลี้ยวไม่กระพริบ แต่ได้ยินเสียงระบบกันขโมยดังขึ้น 

มีหลายครั้งเหมือนกันที่เราไม่เคยทราบว่า ในตัวรีโมท ก็มีการใส่ถ่านเหมือนกันกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป ดังนั้นหากเกิดกรณีกดแล้วไม่สามารถใช้งานได้ ก็อาจจะเกิดจากการที่ถ่านหมด วิธีการคือเปลี่ยนถ่านใหม่

3. กดรีโมทแล้วมีเสียงตอบรับ ไฟเลี้ยวก็กระ แต่ประตูดันไม่ปลดล็อค 

งานนี้อาจจะเกิดจากการที่ระบบมอเตอร์เปิดปิดประตูเสีย หรือมีปัญหา อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับตัว รีโมทรถยนต์ แต่อย่างใด ควรจะนำรถยนต์ของคุณเข้าศูนย์และเช็คประตูโดยด่วน 

4. กดรีโมทรถแล้ว สัญญาณกันขโมยดันล็อค ทางที่รีโมทอยู่ในสภาพปกติ 

อาจจะเกิดจาก สาเหตุ ที่ประตูรถ ปิดไม่สนิท 

5 วิธีดูแลและยืดอายุการใช้งานของ รีโมทรถยนต์ 

1. สาเหตุ หนึ่งที่ทำให้รีโมทพังอาจจะเกิดจาก รีโมทตกพื้นบ่อย ดังนั้นจึงพยายามอย่าให้รีโมทตกพื้น 

2. เปลี่ยนแบตเตอรี่รีโมทอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง อย่ารอให้แบตเตอรี่หมดไปเอง เพราะอาจจะทำให้เราลำบากได้ เช่น แบตหมดหรือมีปัญหาช่วงเดินทางไกล หรือไปต่างจังหวัด  

3. ไม่ควรให้รีโมทโดนน้ำ เพราะความชื้นจะทำให้ระบบภายในพังได้ หรืออาจจะทำให้แบตเตอรี่บวมได้  

4. ใช้น้ำยาทำความสะอาดวงจรภายในให้สะอาด เมื่อต้องมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถแจ้งช่างให้ลงน้ำยาได้  

5. หาซิลิโคนกันกระแทกใส่เพื่อป้องกันรีโมทตก 

แค่นี้ก็แก้ปัญหา รีโมทรถยนต์ พังหรือใช้งานไม่ได้อีกต่อไป แถมยังเป็นการป้องกัน สาเหตุ ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย หากใครเจอปัญหานอกเหนือจากนี้ แล้วรู้สึกว่าเป็นอุปสรรคในการขับขี่รถ แนะนำให้นำรถเข้าไปที่ศูนย์บริการรถยนต์ หรือศูนย์ซ่อม พร้อมรีโมทของเรา เพื่อให้ทางศูนย์บริการช่วยเช็คให้ อย่างไรก็ตามอย่าลืมดูแลรีโมทของคุณให้ดีด้วย เพื่อจะได้ยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น 

อ่านเพิ่มเติม: เบรกมือไฟฟ้า

22 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

วิธีการใช้งาน เบรกมือไฟฟ้า ที่ถูกต้อง พร้อม ข้อดี ข้อเสีย ของการมีเบรกมือไฟฟ้า

by yanyon 19 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
เบรกมือไฟฟ้า

ระบบการทำงานของรถยนต์ เต็มไปด้วยหลายระบบหลายชิ้นส่วน และที่สำคัญในปัจจุบันนี้ก็มีการพัฒนา หลาย ๆ ระบบเป็นอย่างมาก รวมไปทั้งในรถยนต์รุ่นใหม่ ตัวอย่างเช่น ระบบเบรก

วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก เบรกมือไฟฟ้า มีวิธีการใช้งานอย่างไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร 

เบรกมือไฟฟ้า คืออะไร ระบบเบรกไฟฟ้าจะอยู่ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ หลาย ๆ รุ่น พบเห็นได้ทั้งรถยุโรปและรถญี่ปุ่น ลักษณะจะเป็นปุ่มเบรกอยู่บริเวณคอนโซลกลาง และมีสวิตซ์ที่เป็นสัญญาณตัว P วิธีการทำงานง่ายมาก เพียงแค่กดสวิตช์ระบบก็จะเริ่มทำงานทันที ด้วยระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ

Auto Brake Hold คือ ระบบที่ช่วยเหยียบเบรกค้างไว้ เมื่อปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรกได้ทันที อำนวยความสะดวกเวลาอยู่ในสภาพการจราจรติดขัด หรือติดไฟแดง วิธีการใช้งานก็ง่ายทำให้ระบบทำงานได้ง่ายขึ้น 

ข้อดี ข้อเสีย ของระบบ เบรกมือ ไฟฟ้า 

1. มีกำลังเบรกสูง ข้อดีของระบบ เบรกมือ ไฟฟ้า 

คือสามารถทำง่าย ๆ ด้วยการกดสวิตช์หรือดึงเพียงแค่ครั้งเดียว ก็จะทำให้รถสามารถหยุดได้แบบสนิท แล้วไม่ต้องออกแรงดึงเบรกมือแบบปกติจนสุดแรง ที่จะส่งผลให้เกิดฟันเฟืองหรือเพลาล็อค แต่ที่สำคัญ ลดความเสื่อมสภาพของฟันเฟืองและเพลาล็อคได้อีกด้วย ถือเป็นการยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น 

2. หมดปัญหาเรื่องการลืมปลดล็อคเบรกมือ 

ระบบนี้มีข้อดีตรงที่ เราสามารถปล่อยทางออกจากแป้นเบรกได้ โดยที่หมดห่วงเรื่องรถไหล ช่วยอำนวยความสะดวกเวลาที่อยู่ในสภาพการจราจรติดขัด และยังสามารถทำงานง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่ม แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณา ข้อดี ข้อเสีย อีกหลาย ๆ ข้อประกอบกันด้วย

3. ลดปัญหาการลืมปลดเบรกมือ 

แน่นอนว่าการทำงานของ เบรกมือ ไฟฟ้า นั้น สามารถทำงานได้ง่ายดาย ดังนั้นการที่เราจะขับขี่ และจอดรถด้วยความปลอดภัย ทำให้เราลดปัญหาในการลืม ปลดเบรกมือก่อนออกรถได้ 

4. ค่าบำรุงรักษา หรือค่าซ่อมแซมสูง 

อย่างที่ทราบอยู่แล้วว่าระบบไฟฟ้านั้น มักจะมีการทำงานและกลไกที่ซับซ้อน และด้วยความที่เป็นระบบไฟฟ้าจึงทำให้มีค่าใช้จ่าย หรือค่าซ่อมบำรุงที่มากกว่าปกติ นอกจากนี้ระยะเวลาในการซ่อมก็อาจจะนานกว่าด้วย 

5. ลืมปลด เบรกมือ ไฟฟ้า 

เพราะอาจจะเกิดจากความสับสน เพราะต้องสลับการใช้งานระหว่างเบรกมือและเบรกไฟฟ้า จนทำให้เกิดความสับสนหรือลืมศตัว มองดูแล้วอาจจะมี ข้อดี ข้อเสีย หลาย ๆ อย่าง  ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อุปกรณ์หลาย ๆ อย่างที่ทำ เพื่ออำนวยความสะดวกกับเรา ดังนั้นเราควรจะศึกษา ข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละระบบอย่างดีเสียก่อน ทำความเข้าใจแล้วก็ต้องฝึก ใช้งานจนคล่องตัว เช่นเดียวกับ เบรกมือ ไฟฟ้า ที่อาจจะมีทั้งข้อดี และข้อเสียในลเวลาเดียวกัน อย่าลืมศึกษาข้อมูลก่อนการใช้งานอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานของตัวเราเอง 

อ่านเพิ่มเติม: ทะเบียนรถ สีซีด

19 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

เมื่อ ป้ายทะเบียนรถ สีซีด จาง ต้องทำอย่างไร เรื่องง่ายๆ ที่หลายคนไม่รู้

by yanyon 16 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
ทะเบียนรถ สีซีด

ปัญหาของการดูแลรถยนต์ให้เหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็ค่อนช้างยากพอสมควร ยิ่งรถที่ใช้ไปนาน ๆ ก็มักมีปัญหาจุกจิกตามมา เช่น ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม ปัญหารถสตาร์ทไม่ และอีกสารพัดปัญหามากมายที่ตามมา

แล้วอีกปัญหาหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ ป้ายทะเบียนรถ สีซีด จาง ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคน ไปหาวิธีการแก้ไขปัญหา ดังกล่าวกัน  

ทำไมป้ายทะเบียนรถ สีซีด จาง  

แน่นอนว่า หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างไม่ใช้งานไปนาน ๆ ก็มักจะตามมาด้วยปัญหาการสึกหรอ เช่นเดียวกัน กลับ ป้ายทะเบียนรถ เอง แต่มันก็มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ สีซีด จาง ไม่ว่าจะเป็นจากขั้นตอนการผลิต  การเคลือบสีที่ไม่ได้มาตรฐาน แสงแดดที่แผดเผา ตลอดไปจนถึงการขัดล้างทำความสะอาด แบบไม่ถูกวิธี จึงทำให้ป้ายทะเบียนสีซีดหรือจาง และหลุดร่อนลงได้

ป้ายทะเบียน สีซีด จาง ลบเลือนต้องทำอย่างไร  

ก่อนอื่นต้องตรวจสอบก่อนว่า สีบนตัวอักษรของ ป้ายทะเบียนนั้น หรือตัวอักษรที่บ่งบอกชื่อจังหวัด มีความซีดจางมากน้อยเพียงใด เราจะต้องนำแผ่นป้ายทะเบียนมาเคลือบสีใหม่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถนำมาทำได้ที่ งานแผ่น ป้ายทะเบียนรถ อาคาร 7 กรมขนส่งทางบก และจะสามารถรับแผ่นป้ายทะเบียนได้ในวันที่มาติดต่อทันที หรือสามารถขอยื่นความประสงค์ ที่สำนักงานกรมขนส่ง ที่อยู่ในความรับผิดชอบก็ได้ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการจัดส่งไม่เกิน 7 วันทำการ หรือสามารถนัดมารับแผ่นป้ายทะเบียนได้ โดยจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนชั่วคราวกับเจ้าหน้าที่ ในการติดที่รถไปก่อน ขณะที่รถอยู่ระหว่างการส่งเคลือบสี  

   กรณีแผ่นป้ายทะเบียนชำรุดเนื่องจากสาเหตุอื่น เช่นเกิดจากการขัดล้างไม่ถูกวิธี หลุดจากการใช้งาน สามารถขอติดต่อรับแผ่นป้ายทะเบียนทดแทน แต่จะมีค่าใช้จ่าย  

อัตราค่าธรรมเนียม กรณีขอ ป้ายทะเบียนรถ ใหม่  

1. รถยนต์ส่วนบุคคล  

อัตราค่าบริการคำขอ จำนวน 5 บาท ถ้าป้ายทะเบียน 2 ชิ้น หน้าและหลัง แผ่นป้ายทะเบียนละ 100 บาท รวม 205 บาท อัตราค่าธรรมเนียม กรณีเป็นแผ่นป้ายทะเบียนธรรมดา 100 บาท กรณีแผ่นป้ายทะเบียนประมูล แผ่นละ 600 บาท  

2. รถจักรยานยนต์  

ถ้าคำขอ 5 บาท ค่าป้ายทะเบียน 1 แผ่น 100 บาท รวม 105 บาท  

เอกสารที่ต้องเตรียม  

1. แผ่นป้ายทะเบียนเดิมที่ชำรุด หรือ สีซีด จาง 

2. สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ทั้งตัวจริงและตัวสำเนา  

3. บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถตัวจริง พร้อมสำเนาบัตรประชาชน และในกรณีที่ให้ผู้อื่นดำเนินการแทน จำเป็นต้องใช้หนังสือมอบอำนาจ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท  

4. เอกสารใบคำขอ โดยเอกสารที่ใช้ในการดำเนินการนั้นต้องเป็นแบบฟอร์มของกรมสำนักงานขนส่งเท่านั้น  

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการยืดอายุและรักษาการใช้งานของ ป้ายทะเบียนรถ ไม่ให้สี  สีซีด จาง ควรจะมีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี ไม่ใช้น้ำยาหรือสารเคมีที่ไม่ควรรุนแรง ขัดบริเวณแผ่นป้ายทะเบียน อยู่บริเวณตัวอักษร ควรจะมีการใช้แชมพูอ่อน ใช้ผ้าบางและสำลีทำความสะอาด จะได้ไม่ต้องนำแผ่นป้ายทะเบียน มาเคลือบสีใหม่ให้เสียเวลา  

อ่านเพิ่มเติม: ทำร้าย รถยนต์

16 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

แดด ฝน ทำร้าย รถยนต์ ของคุณมากแค่ไหน เรื่องน่ารู้ของคนไม่มีที่จอดรถ พร้อมวิธีป้องกัน

by yanyon 13 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
ทำร้าย รถยนต์

จอดรถนอกบ้านหลังคาก็ไม่มี แสงแดดก็รุนแรงเหลือเกินสำหรับบ้านเรา ตามมาด้วยสิ่งสกปรกและทำร้ายรถเราสุด ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหา สีรถมัวหมอง สีรถจาง คงไม่ดีมาก ๆ สำหรับคนที่รักรถแบบเรา

ดังนั้นเรามาดูกันสิว่า วันนี้ แดด ฝน ทำร้าย รถยนต์ ของเรามากแค่ไหน 

จอดรถตาก แดด ฝน ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง 

1. แอร์รถทำงานหนัก 

ความร้อนที่สะสมอยู่ภายในรถ จะทำให้แอร์รถทำงานหนักกว่าปกติ เมื่อสตาร์ทรถ ควรจะมีการ ลดกระจกลงเล็กน้อย เพื่อเป็นการระบายความร้อน ความร้อน อาจส่งผลต่อระบบท่อของแอร์ได้ และอาจจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อต่อต่าง ๆ 

2. สีรถมัวหมอง 

แน่นอนว่าความร้อนนั้น มีผลต่อสี รถยนต์ โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถสีขาว ก็จะทำให้กลายเป็นสีเหลือง และรถสีดำ ก็จะมีสีเข้มที่ซี่จางลง 

3. ปัญหาการเสื่อมสภาพของน้ำมันเครื่อง เร็วกว่าปกติ 

สภาพอากาศที่ร้อนจนเกินไป จะทำให้เครื่องยนต์ หมดสภาพไปมากขึ้น ส่งผลไปถึงน้ำมันเครื่อง มีประสิทธิภาพลดลง 

4. แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ 

ความร้อนใน รถยนต์ ที่ระบายออกไม่หมด จะส่งผลทำให้แบตเตอรี่มีอาการบวม และอาจจะสตาร์ทไม่ติด 

5. ยางรถเสื่อมสภาพ 

การจอดรถตาก แดด ฝน เป็นเวลานาน แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาคือการทำให้ยางรถเสื่อมสภาพ ความร้อนจะสร้างความตึงให้กับผิวยางจนอาจจะเกิดระเบิดได้ 

6. สีรถหมอง 

การจอดรถตากแดดและฝน จะทำให้ สีรถหมอง เป็นการทำลายสีรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝนที่อยู่ในเมืองหลวง จะประกอบไปด้วยฝุ่น มลภาวะ และสารเคมีต่าง ๆ ทำลายผิวรถ 

7. รถสตาร์ทไม่ติด 

การจอดรถตากฝนเป็นเวลานาน ของเครื่องยนต์เกิดความชื้นสะสม และทำให้รถสตาร์ทติดยาก 

วิธีการป้องกันรถจากแดด และฝน

1. ใช้ม่านบังแดดใน รถยนต์ เพื่อเป็นการป้องกันกระจก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมไปถึงสิ่งของที่อยู่ภายใน 

2. ใช้ผ้าคลุมรถ เป็นการป้องกันแสงแดดเข้ามากระทบตัวลดโดยตรง และยังช่วยป้องกันรอยขีดข่วน จากสัตว์ทั้งหลาย เช่น แมว และ สุนัข เป็นต้น 

3. เคลือบสีรถ เป็นการป้องกันสีรถจากดวงอาทิตย์ เพื่อป้องกันไม่ให้สีรถซีดเร็วเกินไป

4. ล้างทำความสะอาดทันที เมื่อต้องขับรถลุยฝน ล้างเศษฝุ่น และคราบสกปรก

5. ไม่นำรถออกแดดทันที ที่รถโดนฝนมา เพราะแดดจะทำให้น้ำระเหย และทิ้งคราบฝุ่นการจอดรถตาก แดด ฝน นั้น เป็นการทำร้าย รถยนต์ ของเราอย่างมาก สำหรับคนที่รักรถจริง ๆ ก็จะมีวิธีการป้องกันรถของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เข้าใจได้ว่า ด้วยความจำกัดของพื้นที่ ทำให้มีบางครั้งที่เราจำเป็นจะต้องจอดรถ ตากแดดและฝน ดังนั้นหากเป็นไปได้ แม่ไม่ได้จอดรถในที่ร่ม ก็หาวิธีการป้องกันอย่างอื่นแทน เพื่อเป็นการปกป้องรถของเรา 

อ่านเพิ่มเติม: ที่ปัดน้ำฝน

13 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

ความสำคัญของ ที่ปัดน้ำฝน ที่หลายคนมองข้าม พร้อม สัญญาณเตือน ต้องเปลี่ยนทันทีเมื่อมีอาการ

by yanyon 10 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
ที่ปัดน้ำฝน

อุปกรณ์ในรถยนต์อีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน และที่สำคัญอุปกรณ์ชนิดจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนการใช้งาน อย่างน้อย ๆ ทุก ๆ 1 ปี เพราะถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนการใช้งาน อาจจะส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้ นั่นก็คือ ใบปัดน้ำฝน หรือใบปัดน้ำฝนนั่นเอง

วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก กับความสำคัญของที่ปัดน้ำฝน พร้อมกับ สัญญาณเตือน ที่บ่งบอกว่าได้เวลาเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่ 

ที่ปัด น้ำฝน คืออุปกรณ์ที่รถยนต์ทุกคันต้องมี และยังใช้ประโยชน์ได้สารพัด เพราะนอกจากจะใช้ปัดน้ำฝนแล้ว ยังสามารถปัดแมลง เศษดิน เศษโคลน รวมไปถึงฝุ่นละออง แล้วใบไม้ต่าง ๆ ที่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ โดยปกติแล้ว ใบปัดน้ำฝนนั้น จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่

วิธีการดูแล ที่ ปัดน้ำฝน 

1.  ทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ 

การทำความสะอาดยางปัดน้ำฝน หรือใบปัดน้ำฝนนั้น ดูแลไม่ยากเลย เพียงแค่ล้างทำความสะอาดคราบและสิ่งสกปรกต่าง ๆ จาตัวยาง เพียงเท่านี้

2.  หลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด 

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ใบปัดน้ำฝน เสื่อมคุณภาพเร็ว นั่นก็คือการจอดรถตากแดด เพราะความร้อนจากแสงแดดนั้นย่อมส่งผลทำให้ยางปัดน้ำฝนมีความเสื่อมสภาพได้ง่ายและหมดอายุการใช้งานเร็วขึ้น

3. ใช้ยางปัดน้ำฝนแม้จะไม่มีฝนตก 

เพื่อช่วยให้ยางปัดน้ำฝนของเราใช้งานได้นานขึ้น เราสามารถเปิดน้ำ และกดน้ำฉีดกระจกก่อนจะทำการใช้ยางปัดน้ำฝน ก่อนจะออกจากบ้าน เพื่อช่วยให้ยางไม่แห้งหรือแตก 

4. ตรวจสอบหน้ายางของยางปัดน้ำฝน 

ตรวจสอบยางปัดน้ำฝนว่าอยู่ในสภาพการใช้งานที่ปกติหรือไม่ อย่าให้มีสิ่งสกปรกติดหรือสังเกตดูว่ายังเป็นขุยหรือไม่ หากยังมีลักษณะแข็งเป็นขุยต้องเปลี่ยนใหม่ 

สัญญาณเตือน ถึงเวลาต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน 

1. ปัดแล้วสะดุด 

สัญญาณเตือน อย่างแรกคือ เมื่อมีการเปิดใช้งานใบปัดน้ำฝนแล้ว ปรากฏว่าเกิดอาการสะดุด แสดงว่าอยู่ในสภาพกำลังเสื่อม จะต้องรีบทำการเปลี่ยน ที่ปัด น้ำฝน ใหม่ 

2. ปัดแล้วมีเสียงดัง 

สัญญาณเตือน ต่อมา คือเมื่อเปิดใช้งานแล้วปรากฏว่า มีเสียงดังมากกว่าปกติ น่าจะเกิดการแข็งตัว และเสื่อมสภาพของตัวยาง

3. ปัดแล้วไม่ทั่ว ปัดแล้วไม่สะอาด 

สังเกตได้จากร่องรอยของคราบสกปรกต่าง ๆ ที่เมื่อทำความสะอาดแล้วแต่ปรากฏว่า ยังมีร่องรอยหรือคราบสกปรกเหลืออยู่บนกระจกรถของเรา 

4. ปัดแล้วฝืด 

ก็จัดยางของใบปัดน้ำฝนฉีกขาด จนทำให้ไม่สามารถตัดน้ำออกจากกระจกรถก็ยังได้เหมือนเดิม และมีลักษณะฝืด ความสำคัญของ ที่ปัดน้ำฝน มีความสำคัญมาก ดังนั้นเราจึงควรมีการตรวจสอบ และสังเกต สัญญาณเตือน อันตราย ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หากพบสัญญาณใดสัญญาณหนึ่ง จะต้องรีบทำการเปลี่ยน ยางปัดน้ำฝนใหม่ทันที ไม่เช่นนั้น อาจจะทำให้เราไม่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม: ไฟหรี่รถยนต์

10 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

คำถามที่มีคำตอบ ไฟหรี่รถยนต์ ไฟท้าย กับ ประโยชน์ของไฟ ที่หลากหลาย รู้ไว้มีประโยชน์

by yanyon 7 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
ไฟหรี่รถยนต์

อุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับรถยนต์ของเรา นั่นก็คือไฟรถ มีไว้สำหรับทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ ช่วยให้มองในเวลาค่ำคืน รวมไปถึงการแจ้งเตือนทิศทางต่าง ๆ ของรถเรา และรถคันข้างหน้าได้ด้วย แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีข้อสงสัยว่า

แล้ว ไฟหรี่รถยนต์ กับไฟท้าย และ ประโยชน์ของไฟ มีอะไรบ้าง 

ไฟหรี่ รถยนต์ คืออะไร 

ไฟหรี่รถ เป็นไฟหรี่ที่มีลักษณะขนาดเล็ก อยู่บริเวณด้านหน้าของไฟหน้า ซึ่งลักษณะหน้าที่ก็คือ มีไว้สำหรับเพิ่มทัศนวิสัยในการมอง ในพื้นที่ที่มีไฟน้อย แต่ไม่ต้องการให้มีความสว่างมากจนเกินไป ใช้ในบางกรณี เช่น กรณีขับรถเข้าอุโมงค์ กรณีหาที่จอดในลานจอด หรือใช้เปิดในช่วงหัวค่ำ ลักษณะจะเป็นไฟสีขาวหรือไฟสีเหลืองขนาดเล็ก ๆ มี 2 ข้าง และที่สำคัญคือ จะต้องไม่มีสีอื่นนอกเหนือจากนี้ เพราะถือว่าผิดพระราชบัญญัติรถยนต์ปีพุทธศักราช 2522 ห้ามดัดแปลงหรือแก้ไขโคมไฟเป็นสีอื่น จะทำให้ระวังต้องโทษ ปรับไม่เกิน 2,000 บาท 

ไฟท้ายรถยนต์ คืออะไร 

ไฟท้ายรถยนต์จะประกอบไปด้วย 4 ไฟหลักด้วยกัน ได้แก่ ไฟถอยหลัง จะติดเมื่อเราทำการเข้าเกียร์ถอยหลัง , ไฟเลี้ยว หรือไฟฉุกเฉิน จะติดเมื่อเรามีการกดสวิตช์ที่ตัวเครื่องบ่งบอกในลักษณะที่เราต้องการจะขยับรถไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง , ไฟสัญลักษณ์ จะติดเมื่อเราทำการเปิดไฟรถปกติ และไฟเบรก จะติดต่อเมื่อเราเหยียบเบรก นอกจากนี้ ประโยชน์ของไฟ ท้ายก็มีเยอะมาก  

ประโยชน์ของไฟ ไฟหรี่ รถยนต์ และไฟท้ายรถยนต์ 

1. ประโยชน์ของ ไฟหรี่ รถยนต์ เหมาะสำหรับการเปิดเพื่อควบคุมปริมาณแสงที่ไม่มากจนเกินไป 

2. ไม่รบกวนผู้สัญจรคนอื่น ในเขตชุมชน หรือในขณะที่ต้องการพักผ่อนในยามค่ำคืน 

3. สามารถเปิดเมื่อต้องการดูรั้วประตูบ้าน หรือกะระยะในการจอดในโรงรถ 

4. ประโยชน์ของไฟ ท้ายรถยนต์ ช่วยให้สัญญาณกับรถข้างหลังที่ตามเรามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดสัญญาณไฟต่าง ๆ เช่น เปิดไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อให้สัญญาณจะเลี้ยวซ้าย เหยียบเบรกรถ ไฟสัญญาณเบรกจะติดทำให้รถข้างหลังชะลอความเร็วเพื่อระมัดระวังกันเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น 

5. ช่วยส่องสว่างในยามค่ำคืน เพื่อเป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุ เพราะหลายครั้งอุบัติเหตุมักจะเกิดจากการที่ไฟท้ายขาด หรือไฟไม่ติด มีไฟรถหลาย ๆ ประเภทที่ถูกออกแบบและพัฒนาให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูด้วยว่า ไปแต่ละประเภทนั้นมีความสำคัญอย่างไร ใช้งานและมีหน้าที่ทำอะไร ประโยชน์ของไฟ แต่ละชนิดก็แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ไฟหรี่รถยนต์ และไฟท้ายรถยนต์ ก็เช่นกัน ทั้งนี้เมื่อใช้งานแล้ว อย่าลืมดูแลรักษาและนำตรวจเช็คตามรอบ อย่าปล่อยให้ไฟรถขาดเพื่อความปลอดภัยของตัวเราและผู้ใช้ท้องถนน 

อ่านเพิ่มเติม: ลูกปืนรถยนต์

7 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

ลูกปืนรถยนต์ คืออะไร มีกี่ประเภท และ ลูกปืนแตก เกิดจากสาเหตุอะไร

by yanyon 4 พฤษภาคม 2023
written by yanyon
ลูกปืนรถยนต์

ในการขับขี่รถยนต์นั้น จำเป็นจะต้องสังเกตความผิดปกติของรถของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้ยินเสียงดังมาจากเครื่องยนต์ อาจจะบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างของชิ้นส่วน ยกตัวอย่าง เช่น ลูกปืนรถ ซึ่งถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ล้อรถสามารถหมุนไปได้ ถ้าหากลูกปืนรถแตก ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก ลูกปืนรถยนต์ คืออะไร มีกี่ประเภท และ ลูกปืนแตก เกิดจากสาเหตุอะไร 

หน้าที่ของ ลูกปืนรถยนต์ 

แน่นอนว่าการที่รถของเราจะสามารถเดินหน้าไปได้ ก็เกิดจากเครื่องยนต์ ล้อรถยนต์ ซึ่งหน้าที่ของ ลูกปืน รถยนต์ นั้น จะทำหน้าที่สำคัญในการหมุนของล้อ และเป็นตัวรองรับน้ำหนักและจุดหมุนของล้อ ซึ่งตัวลูกปืนนั้นจะทำหน้าที่ในการเชื่อมระหว่างล้อรถ กับตัวอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน หากลูกปืนมีลักษณะหลวม หรือแตกหัก จะส่งผลทำให้รถยนต์มีการแกว่ง หรือเสียศูนย์ได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขหรือเปลี่ยน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตามปกติแล้ว จะต้องทำการเช็คระยะของลูกปืนรถ และทำการเปลี่ยนทุก ๆ 100,000 กิโลเมตร หรือขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของรถแต่ละคน แต่ละประเภท

สาเหตุที่ทำให้ ลูกปืนแตก 

1. การเสื่อมสภาพจากการใช้งาน 

การขับรถในแต่ละวันก็มีผลทำให้เกิดปัญหา ลูกปืนแตก เพราะหากเรามีการขับรถหรือมีระยะเวลาในการวิ่งไปนาน ๆ ลูกปืนก็มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา และหากไม่มีการดูแล หรือไม่มีการนำรถเข้าเปลี่ยนตามระยะ 100,000 กิโลเมตร หรือตามการใช้งานจริง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ 

2. เกิดจากการกระแทกอย่างรุนแรง 

สาเหตุนี้เกิดจากการขับรถ ไปตามเส้นทางที่มีความขรุขระ เป็นหลุม เป็นบ่อ หรือเกิดจากการขับรถอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้ล้อรถตกลงไป กระแทกอย่างรุนแรง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ลูกปืนแตก 

3. เบ้าลูกปืนเสื่อมสภาพ หรือจารบีแห้ง 

สำหรับสาเหตุนี้เกิดจากการใช้งานรถมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้จารบี ที่มีไว้สำหรับเคลือบ และหล่อลื่นเมื่อรถมีการวิ่ง มันมีลักษณะแห้งไป จึงทำให้เบ้าลูกปืนเสื่อมสภาพไปด้วย ลูกปืน รถยนต์ ก็อาจจะแตกได้ 

4. ขับรถลุยน้ำบ่อย 

เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จารบีแห้ง คือการที่เรานำรถขับรถลุยน้ำบ่อย ๆ จารบีที่มีไว้สำหรับเคลือบหรือหล่อลื่นก็จะหลุดออกไปด้วย 

5. เกิดจากการเปลี่ยนลูกปืนใหม่ 

การนำรถไปเปลี่ยนลูกปืน แต่ว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนตามรูปแบบที่ถูกต้อง เช่น การตอกลูกปืนรถเข้าไป ทำให้ลูกปืนล้อรถเสียหาย เป็นแผล 

วิธีการสังเกต ลูกปืนแตก 

รถมีเสียงหอนจากบริเวณห้องผู้โดยสาร สังเกตเสียงจากล้อด้านหน้าหรือด้านหลังได้ยินชัดเจน สุดท้ายแล้วหากตรวจเช็คว่า ลูกปืนแตก สิ่งที่จะต้องทำคือไม่ควรฝืนวิ่งต่อไป และจะต้องรีบทำการตรวจเช็ค นำรถเข้าศูนย์บริการทันที เพราะถ้าหากยังฝืนต่อไป อาจจะทำให้ เกิดอุบัติเหตุตามมาได้ ดังนั้นผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถ ควรจะต้องมีการนำรถเข้าตรวจสอบ อยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ ลูกปืนรถยนต์ แตกได้ 

อ่านเพิ่มเติม: ไฟหน้าเหลือง

4 พฤษภาคม 2023 0 comment
0 FacebookTwitterPinterestEmail
  • 1
  • 2
  • 3
  • …
  • 33

ติดตามเรา

Facebook Twitter Instagram Youtube

หมวดหมู่

  • ข่าวสาร (3)
  • บทความแนะนำ (230)
  • มอเตอร์ไซค์ (16)
  • รถยอดฮิต (35)
  • รีวิวรถ (17)
  • แต่งรถ (23)
  • ไม่มีหมวดหมู่ (10)

เรื่องล่าสุด

  • ไม่รู้ไม่ได้แล้ว หม้อน้ำรถยนต์ สำคัญไฉน แบบใดเหมาะกับ รถยนต์ ของเรา

    31 พฤษภาคม 2023
  • อยากมี รถยนต์คันแรก มี ค่าใช้จ่าย อะไรที่ต้องรู้ก่อนออกรถ

    28 พฤษภาคม 2023
  • ขับทุกวันไม่เคยรู้ ยางรถสึก เกิดจากสาเหตุใด มือใหม่หัดขับ ต้องรู้ มือเก่าต้องทราบ!

    25 พฤษภาคม 2023

เรื่องแนะนำ

  • ไม่รู้ไม่ได้แล้ว หม้อน้ำรถยนต์ สำคัญไฉน แบบใดเหมาะกับ รถยนต์ ของเรา

    31 พฤษภาคม 2023
  • อยากมี รถยนต์คันแรก มี ค่าใช้จ่าย อะไรที่ต้องรู้ก่อนออกรถ

    28 พฤษภาคม 2023
  • ขับทุกวันไม่เคยรู้ ยางรถสึก เกิดจากสาเหตุใด มือใหม่หัดขับ ต้องรู้ มือเก่าต้องทราบ!

    25 พฤษภาคม 2023
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram
  • Youtube

@2021 - All Right Reserved. Designed and Developed by ยานยนต์.net